xs
xsm
sm
md
lg

โกลเบล็กตั้งเป้าเติบโต 10% แนะจับตาทิศทางตลาดหุ้น ส่อแววผันผวนต่อเนื่อง ชี้ "ทรัมป์" ตัวแปรหลัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



บล.โกลเบล็ก ประกาศเกมรุกปี 2568 ตั้งเป้าการเติบโต 10% เล็งขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่งเพิ่ม AUM แตะ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ DRx และ Structured Note รองรับนักลงทุนทุกกลุ่ม รวมถึงศึกษาแนวทางพัฒนา Gold Link Note เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนในอนาคต ชี้จับตาภาคลงทุนปีนี้ที่ยังเผชิญแรงกดดัน หลัง "ทรัมป์" คืนตำแหน่ง กระตุ้นสงครามการค้า กระทบเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดหุ้นผันผวน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังซบเซาจากปัญหาความเชื่อมั่นที่ลดลง การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ และแรงกดดันจากการบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่ยังเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนหุ้นปันผลระยะยาว

นายธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 ไว้ที่ 10% จากปีก่อน โดยมีธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่ง (Private Wealth Management) เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าการขยายพอร์ตกลุ่มลูกค้าดังกล่าว จะสามารถสร้างโอกาสการลงทุนให้ลูกค้าได้ แม้ว่าตลาดหุ้นจะเผชิญกับความผันผวน

"โกลเบล็กได้ปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเห็นผลลัพธ์ในปีนี้ โดยเฉพาะธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันการเติบโตของบริษัทในอนาคต"

ปัจจุบัน โกลเบล็กมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) กว่า 5,000 ล้านบาท และมีแผนขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง โดยการลดการพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว พร้อมขยายทีมที่ปรึกษาการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 50 คน ภายในปีนี้ เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หุ้นกู้ และ Structured Note

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่น การนำผลิตภัณฑ์ Depositary Receipt (DR) และ DRx มาผสมผสานกับ Structured Note เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนรูปแบบใหม่ โดยคาดหวังให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารเติบโตแตะระดับ 10,000 ล้านบาท พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการศึกษาการพัฒนา Gold Link Note ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยเพิ่มโอกาสการลงทุนในทองคำ พร้อมขยายช่องทางดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดย บล.โกลเบล็ก มุ่งมั่นพัฒนาและสร้างโอกาสทางการลงทุนให้ลูกค้าในทุกสภาวะตลาด พร้อมขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงในปี 2568

สำหรับภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกขณะนี้ นายธนพิศาล กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนในปีนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเฉพาะตัวแปรหลักจากทิศทางตลาดต่างประเทศ ที่สอดรับกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากการกลับมาดำรงตำแหน่งในสมัยที่ 2 ซึ่งนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทั่วโลก เช่น มาตรการตั้งกำแพงภาษี ส่งผลให้เกิดสงครามทางการค้าอีกครั้ง ซึ่งตัวแปรดังกล่าวกระทบต่อโครงสร้างตลาดการเงินและการลงทุนทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ

ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความผันผวนท่ามกลางข่าวเชิงลบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้ รวมถึงแรงกดดันจากการบังคับขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ในหลายบริษัท ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการเข้าลงทุน ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ภาครัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ตลาดทุน เช่น การตั้งกองทุนพิเศษ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดทุน รวมถึงการเร่งผลักดันการเติบโตของ GDP และการดึงเงินทุนจากนอกระบบเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด พร้อมใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างโอกาสในการลงทุนระยะยาวในช่วงที่ตลาดยังคงผันผวน

"ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 ยังคงมีความท้าทาย ด้วย sentiment ของตลาดหุ้นยังไม่ดี แม้ว่าปัจจุบันราคาหุ้นไทยจะถูกและน่าสนใจในการลงทุน ดังนั้น ควรจะมีมาตรการในการใส่เม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเพื่อขับเคลื่อนตลาดทุน และเป็นการเรียกความเชื่อมั่นกลับมา" นายธนพิศาล กล่าวทิ้งท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น