ผู้จัดการรายวัน 360- MI มอง ปี 68 จะเป็นปีทองธุรกิจได้ จาก 7 ปัจจัยบวกช่วยหนุน ชี้ Influencers และ AI เป็นพลังหลักขับเคลื่อนตลาด ใครก้าวก่อนชนะก่อน คาดดันเม็ดเงินโฆษณาปีนี้คาดโต 4.5% แตะ 92,048 ล้านบาท
นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI GROUP เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงปลายปี2567 ที่ไม่ค่อยดีและน่าจะส่งผลยาวมาจนถึงปี2568 สะท้อนออกมาว่า แม้จะมีปัจจัยลบมากมายแต่จากเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ที่พบว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบระยะสั้น ช่วยดันเทศกาลตรุษจีนให้คึกคักกว่าปีก่อน
จึงมองว่าแม้เศรษฐกิจปีนี้หลายสำนักจะสะท้อนปัจจัยลบเพียบ แต่ก็มีอีกหลายปัจจัยบวกเข้ามามากเช่นกัน ตลอดปี 2568 นี้ จึงมีโอกาสที่อาจจะเป็นปีทองของธุรกิจได้ หากผู้ประกอบการตั้งรับและปรับตัวได้ดี โดยทาง MI GROUP มองว่าปีนี้ จะมี 7 ปัจจัยบวกที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต คือ
1. GEN AI ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น 2.อุตสาหกรรมอนาคตอย่างธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ที่มีแผนเข้ามาลงทุนในไทย 3.การท่องเที่ยวภายในและจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คึกคักอย่างต่อเนื่องและมี แนวโน้มสูงขึ้น (คาดการณ์ +13% หรือ 40 ล้านคน ใกล้เคียงปี 2562) 4.ไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก
5.ซอฟพาวเวอร์ของไทยโดยเฉพาะ Thai Cultural Content ที่บูมขึ้นและได้รับการตอบรับและสนใจมากขึ้นในตลาดสากล 6.นโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนใหม่ในอาเซียนและเอเชีย และ 7. แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเชิงรุกที่ประกาศออกมา
ส่วนปัจจัยลบและความท้าทายที่ต้องจับตามองอยู่ ได้แก่ 1.ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง หลายประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของไทยยังอยู่ในสภาวะซบเซาหรือยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร 2.อัตราดอกเบี้ยสูงในสหรัฐฯ และยุโรปอาจส่งผลต่อการค้าและการลงทุนของไทย 3.การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัว หรือยังฟื้นไม่เต็มที่
4.สินค้าจากจีนทะลักเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อผู้ประกอบการไทยในการแข่งขัน 5.ความอ่อนแอและเปราะบางของ SMEs ไทยที่ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในทักษะเพื่อการแข่งขันในโลกยุคใหม่ และข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มมีผล แต่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นและเห็นผลเป็นรูปธรรม
“ปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสและความท้าทาย ธุรกิจไทยต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งโอกาสจาก AI และดิจิทัล อุตสาหกรรมใหม่ที่เติบโต การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และ Soft Power ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ขณะเดียวกัน ปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันที่เข้มข้นยังเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังในสภาวะเช่นนี้ การร่วมมือกันของทุกภาคส่วนคือกุญแจสำคัญ MI GROUP เชื่อมั่นว่า ธุรกิจไทยสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เข้ามา พร้อมตั้งรับและปรับตัวกับความท้าทายไปด้วยกัน แบรนด์และผู้ประกอบการ ควรผนึกกำลัง เดินเกม รุกอย่างปราดเปรียว ตั้งรับอย่างแข็งแกร่ง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดิบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยพลังของข้อมูลเชิงลึก เทคโนโลยี และกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกธุรกิจก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ” นายภวัต กล่าว
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่า ในมุมของแบรนด์และสินค้า ปีนี้ยังพร้อมลงเม็ดเงินเพื่อการโฆษณาและการทำตลาด โดยจะเน้นไปที่สื่อดิจิทัล 45% และ สื่อออฟไลน์ 55% โดยที่ 3 สื่อหลักอย่าง สื่อดิจิทัล สื่อโทรทัศน์ และสื่อนอกบ้าน ยังมีคงบทบาทสำคัญของการทำตลาดมากที่สุด ดังนั้นโจทย์ยาก จึงเป็นเรื่องของการวางแผนส่วนผสมสื่ออย่างไรให้มีประสิทธิภาพและส่งเสริมกันมากที่สุด ใครก้าวก่อน ชนะก่อน โดยเครื่องมือสำคัญอย่าง Influencers และ AI จะเป็นสองพลังหลักขับเคลื่อนตลาด ซึ่งการใช้ Influencers จะเน้นเรื่องยอดขาย ส่วน AI เป็นเรื่องของการลดระยะเวลาการทำงาน และการลดต้นทุน
ทั้งนี้ทาง MI GROUP คาดการณ์ว่า จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในไทยในปี 2568 น่าจะแตะ 3 ล้านราย จากปีก่อนอยู่ที่ 2 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.5% ของจำนวนประชากรไทย การเติบโตมาจากกลุ่ม Micro และ Nano ที่มาในรูปแบบของผู้ใช้จริง (KOC) และพ่อค้าแม่ค้า นักขาย ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นที่เข้าร่วมทำ Affiliate Marketing กับแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการและแบรนด์ เน้นการสื่อสารการตลาด เพื่อดันยอดขายโดยตรงเป็นหลัก (Lower Funnel Marketing) จึงเป็นสาเหตุหลักทำให้การใช้อินฟลูเอนเซอร์เติบโตสูง
จากสถานการณ์โดยรวมดังกล่าว ทาง MI GROUP จึงคาดการณ์ว่า เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดในปี 2568 นี้ จะยังเติบโตได้ 4.5% หรือคิดเป็นมูลค่ารวมที่ 92,048 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสื่อดิจิทัล (รวมถึงสื่อโซเชียล) ที่โต 15% โดยขึ้นเป็นสื่ออันดับ1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 มูลค่ารวมแตะ 38,938 ล้านบาท รวมถึงสื่อนอกบ้านที่จะโตอีก 10% ส่วนสื่อดั้งเดิมหลักถดถอยต่อเนื่อง โดยเฉพาะสื่อทีวี ที่เติบโตลดลง 3-4% จาก 35,364 ล้านบาทในปีก่อน ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 33,129 ล้านบาท
โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดเพิ่มขึ้นในปีนี้ ได้แก่ 1.สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว 2.ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และโบรกเกอร์ประกัน 3.วิตามิน อาหารเสริม และยา 4.โฆษณาจากภาครัฐ 5.การขนส่ง เช่น บริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ 6.อาหารและสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง 7.สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดลดลงในปีนี้ คือ 1.E-Marketplace เช่น Shopee, Lazada 2.เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น น้ำอัดลม กาแฟ 3.ร้านอาหาร 4.ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน 5.ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร (ข้อมูลโดย MI LEARN LAB).
นายภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI GROUP เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงปลายปี2567 ที่ไม่ค่อยดีและน่าจะส่งผลยาวมาจนถึงปี2568 สะท้อนออกมาว่า แม้จะมีปัจจัยลบมากมายแต่จากเดือนม.ค. ที่ผ่านมา ที่พบว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจแบบระยะสั้น ช่วยดันเทศกาลตรุษจีนให้คึกคักกว่าปีก่อน
จึงมองว่าแม้เศรษฐกิจปีนี้หลายสำนักจะสะท้อนปัจจัยลบเพียบ แต่ก็มีอีกหลายปัจจัยบวกเข้ามามากเช่นกัน ตลอดปี 2568 นี้ จึงมีโอกาสที่อาจจะเป็นปีทองของธุรกิจได้ หากผู้ประกอบการตั้งรับและปรับตัวได้ดี โดยทาง MI GROUP มองว่าปีนี้ จะมี 7 ปัจจัยบวกที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโต คือ
1. GEN AI ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น 2.อุตสาหกรรมอนาคตอย่างธุรกิจ Data Center และ Cloud Service ที่มีแผนเข้ามาลงทุนในไทย 3.การท่องเที่ยวภายในและจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คึกคักอย่างต่อเนื่องและมี แนวโน้มสูงขึ้น (คาดการณ์ +13% หรือ 40 ล้านคน ใกล้เคียงปี 2562) 4.ไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก
5.ซอฟพาวเวอร์ของไทยโดยเฉพาะ Thai Cultural Content ที่บูมขึ้นและได้รับการตอบรับและสนใจมากขึ้นในตลาดสากล 6.นโยบายแข็งกร้าวของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนใหม่ในอาเซียนและเอเชีย และ 7. แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเชิงรุกที่ประกาศออกมา
ส่วนปัจจัยลบและความท้าทายที่ต้องจับตามองอยู่ ได้แก่ 1.ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง หลายประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของไทยยังอยู่ในสภาวะซบเซาหรือยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร 2.อัตราดอกเบี้ยสูงในสหรัฐฯ และยุโรปอาจส่งผลต่อการค้าและการลงทุนของไทย 3.การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัว หรือยังฟื้นไม่เต็มที่
4.สินค้าจากจีนทะลักเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อผู้ประกอบการไทยในการแข่งขัน 5.ความอ่อนแอและเปราะบางของ SMEs ไทยที่ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในทักษะเพื่อการแข่งขันในโลกยุคใหม่ และข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน แม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มมีผล แต่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นและเห็นผลเป็นรูปธรรม
“ปี 2568 เป็นปีแห่งโอกาสและความท้าทาย ธุรกิจไทยต้องพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งโอกาสจาก AI และดิจิทัล อุตสาหกรรมใหม่ที่เติบโต การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และ Soft Power ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ขณะเดียวกัน ปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันที่เข้มข้นยังเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังในสภาวะเช่นนี้ การร่วมมือกันของทุกภาคส่วนคือกุญแจสำคัญ MI GROUP เชื่อมั่นว่า ธุรกิจไทยสามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เข้ามา พร้อมตั้งรับและปรับตัวกับความท้าทายไปด้วยกัน แบรนด์และผู้ประกอบการ ควรผนึกกำลัง เดินเกม รุกอย่างปราดเปรียว ตั้งรับอย่างแข็งแกร่ง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดิบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยพลังของข้อมูลเชิงลึก เทคโนโลยี และกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อให้ทุกธุรกิจก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ” นายภวัต กล่าว
อย่างไรก็ตามจะเห็นว่า ในมุมของแบรนด์และสินค้า ปีนี้ยังพร้อมลงเม็ดเงินเพื่อการโฆษณาและการทำตลาด โดยจะเน้นไปที่สื่อดิจิทัล 45% และ สื่อออฟไลน์ 55% โดยที่ 3 สื่อหลักอย่าง สื่อดิจิทัล สื่อโทรทัศน์ และสื่อนอกบ้าน ยังมีคงบทบาทสำคัญของการทำตลาดมากที่สุด ดังนั้นโจทย์ยาก จึงเป็นเรื่องของการวางแผนส่วนผสมสื่ออย่างไรให้มีประสิทธิภาพและส่งเสริมกันมากที่สุด ใครก้าวก่อน ชนะก่อน โดยเครื่องมือสำคัญอย่าง Influencers และ AI จะเป็นสองพลังหลักขับเคลื่อนตลาด ซึ่งการใช้ Influencers จะเน้นเรื่องยอดขาย ส่วน AI เป็นเรื่องของการลดระยะเวลาการทำงาน และการลดต้นทุน
ทั้งนี้ทาง MI GROUP คาดการณ์ว่า จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในไทยในปี 2568 น่าจะแตะ 3 ล้านราย จากปีก่อนอยู่ที่ 2 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.5% ของจำนวนประชากรไทย การเติบโตมาจากกลุ่ม Micro และ Nano ที่มาในรูปแบบของผู้ใช้จริง (KOC) และพ่อค้าแม่ค้า นักขาย ทั้งมืออาชีพและสมัครเล่นที่เข้าร่วมทำ Affiliate Marketing กับแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการและแบรนด์ เน้นการสื่อสารการตลาด เพื่อดันยอดขายโดยตรงเป็นหลัก (Lower Funnel Marketing) จึงเป็นสาเหตุหลักทำให้การใช้อินฟลูเอนเซอร์เติบโตสูง
จากสถานการณ์โดยรวมดังกล่าว ทาง MI GROUP จึงคาดการณ์ว่า เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดในปี 2568 นี้ จะยังเติบโตได้ 4.5% หรือคิดเป็นมูลค่ารวมที่ 92,048 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสื่อดิจิทัล (รวมถึงสื่อโซเชียล) ที่โต 15% โดยขึ้นเป็นสื่ออันดับ1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 มูลค่ารวมแตะ 38,938 ล้านบาท รวมถึงสื่อนอกบ้านที่จะโตอีก 10% ส่วนสื่อดั้งเดิมหลักถดถอยต่อเนื่อง โดยเฉพาะสื่อทีวี ที่เติบโตลดลง 3-4% จาก 35,364 ล้านบาทในปีก่อน ปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 33,129 ล้านบาท
โดยกลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดเพิ่มขึ้นในปีนี้ ได้แก่ 1.สินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยว 2.ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และโบรกเกอร์ประกัน 3.วิตามิน อาหารเสริม และยา 4.โฆษณาจากภาครัฐ 5.การขนส่ง เช่น บริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ 6.อาหารและสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง 7.สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบสื่อสารการตลาดลดลงในปีนี้ คือ 1.E-Marketplace เช่น Shopee, Lazada 2.เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น น้ำอัดลม กาแฟ 3.ร้านอาหาร 4.ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน 5.ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร (ข้อมูลโดย MI LEARN LAB).