xs
xsm
sm
md
lg

กกร.จี้รัฐดึงเอกชนร่วมทีมไทยแลนด์ ชี้สหรัฐขึ้นภาษีเม็กซิโก-แคนนาดาเปิดช่องส่งออกไทยชิงตลาด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



กกร. เสนอรัฐดึงเอกชนร่วมทีมไทยแลนด์ เพื่อร่วมให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในการวางแผนแก้เกมและเจรจาต่อรองการค้าไทย-สหรัฐ เหตุไทยสุ่มเสี่ยงเจอเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม หลังจากสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าเม็กซิโก-แคนาดา-จีน ชี้เป็นโอกาสดีของสินค้าไทยช่วงชิงตลาดในระยะสั้น พร้อมชง6มาตรการเตรียมความพร้อมรับมือ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่าขณะนี้สงครามการค้ารอบใหม่ได้เริ่มแล้ว โดยสหรัฐฯ ประกาศจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าต่อกลุ่มประเทศเป้าหมาย ทั้งต่อเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และจีนในอัตรา 10% ส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 ขณะที่เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐ แต่ระยะสั้นคาดว่าจะส่งผลดีต่อสินค้าส่งออกไทยและอาเซียนที่จะเข้าไปแข่งขันชิงตลาดในสหรัฐฯ หลังจากสินค้าแคนาดาและเม็กซิโกมีต้นทุนสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี ไทยยังต้องจับตานโยบายทรัมป์2.0 อย่างใกล้ชิด เนื่องจากไทยส่อถูกสหรัฐฯจับตามองเป็นพิเศษ โดยปี2567 ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯติดอันดับที่ 11 ของประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ โดยเสนอตั้งWar Room และให้ภาครัฐเร่งจ้างล็อบบี้ยิสต์เพื่อช่วยในเจรจาต่อรองการค้าไทย-สหรัฐฯอย่างเร่งด่วน


ทั้งนี้ ที่ประชุมกกร.ได้หารือแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือกับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า ทำให้ประเทศคู่กรณีอย่างจีนได้ส่งสัญญาณตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีและมาตรการทางการค้ากลับสหรัฐฯ มีผลให้การค้าโลกได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ดังกล่าว

ขณะเดียวกันสินค้าจีนที่ไม่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจจะไหลทะลักกลับมาที่ประเทศไทยและประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ พบว่า กลุ่มสินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบมาก เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจก เครื่องสำอาง เป็นต้น


ดังนั้น กกร. จึงเสนอแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือทั้งผลกระทบจากทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ 1.การเจรจาระดับรัฐเพื่อป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกัน

2.การสนับสนุนในด้านกฎหมาย กฎระเบียบการค้า เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายทรัมป์2.0

3.การบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในประเทศและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน

4.การใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping :AD) ปรับลดระยะเวลาการไต่สวนการใช้มาตรการทางการค้า รวมถึงการใช้มาตรการควบคุมการนำเข้า

5.การควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน รวมทั้งการให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องการ (Over Capacity) เช่นอุตสาหกรรมเหล็ก รวมถึงการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Freezone อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำสินค้าและวัตถุดิบกลับมาขายในประเทศ

6.การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MIT) โดยเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ เช่น การกำหนดการใช้สินค้าไทยในโครงการบ้านเพื่อคนไทย ไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ


เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวจำกัด การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายต่อการส่งออก ซึ่งกกร.คงการเติบโตทางGDP ที่ 2.4-2.9% และการส่งออกโต 1.5- 2.5 % ส่วนภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างชาติ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ จากปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ Supply Chain ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) รวมทั้งเร่งทำข้อตกลงทางการค้าเพิ่มเติมจาก FTA ไทย-EFTA เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทางกกร.ได้ทำหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้กกร.ส่งตัวแทนภาคเอกชนเข้าร่วมทีมไทยแลนด์ที่ปัจจุบันมีแต่ภาครัฐ เพื่อให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในการวางแผนแก้เกมการค้าและเจรจาต่อรองทางการค้ากับสหรัฐฯ ล่าสุดนายกรัฐมนตรี กำหนดนัดประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กรอ.)ครั้งแรกในเดือนมีนาคมนี้

นายเกรียงไกร กล่าวว่ากกร. แสดงจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลในการยกระดับการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นวาระแห่งชาติ หลังพบว่าปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของประชาชน ภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยว เสียโอกาสทางธุรกิจ และกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

ชี้ “ตัดไฟฟ้า-น้ำมัน”ไทย-เมียนมากระทบน้อย

ส่วนกรณีที่รัฐสั่งตัดไฟฟ้า น้ำมันและสัญญาณอินเตอร์เน็ตไทย-เมียนมานั้น นายเกรียงไกร กล่าวว่า เป็นการตัดสินใจที่จำเป็นเพราะต้องแก้ไขที่ต้นตอ เพื่อแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ โดยอาจตะส่งผลกระทบต่อบางธุรกิจของไทยแต่เมื่อชั่งน้ำหนักก็ต้องทำ เพราะความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และภาพลักษณ์ของประเทศเยอะมาก

อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว เนื่องจากสินค้าไทยเป็นที่นิยมในประเทศเพื่อนบ้าน จึงเชื่อว่าได้รับผลกระทบน้อย
กำลังโหลดความคิดเห็น