การตลาด – ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ2 ในไทยพุ่งทะยาน มูลค่าทะลุกว่า 4 หมื่นล้านบาท เปิดปัจจัยบวกผลักดันให้ตลาดเติบโต เชนใหญ่เข้ามาแล้วหลายรายส่งผลตลาดรวมคึกคัก ไทยจ่อขึ้นฮับอาเซียน
ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ2 (ลักซ์ชัวรี่ แบรนด์/LUXURY BRAND ) เป็นตลาดที่มิอาจมองข้ามไปได้ ด้วยมูลค่าตลาดรวมในไทยที่มากกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมอัตราการเติบโตที่มากถึง 10%-15% ต่อปีเลยทีเดียว
ขณะที่ตลาดรวมลักซ์ชัวรี่แบรนด์เนมมือ1ในไทยที่มีการซื้อขายกันด้วยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท
ปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ2 ในไทยพุุ่งไม่หยุด มาจากหลายปัจจัยหลัก คือ กลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มแรก ที่เป็นผู้บริโภคจริง เป็นทั้งคนรุ่นใหม่และรุ่นเก่า ที่ต้องการใช้สินค้าแบรนด์เนม ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่มีกำลังซื้อเพียงพอกับที่มีกำลังซื้อในระดับที่ยังไม่สูงมาก แต่กล้่าใช้จ่าย จึงมองมาที่มือ2 เพราะราคาต่ำกว่ามือ1มากถึง 30%-70% แล้วแต่รุ่น ก็ยังมีความคุ้มค่า กล้าจ่าย ได้ของดี มีแบรนด์
อีกกลุ่มคือ พวกนักลงทุน นักสะสม พวกเก็งกำไร เนื่องจากแบรนด์เนมบางรุ่นก็มีจำกัด มีรุ่นเฉพาะ รุ่นเบสิค ที่หาไม่ได้อีกแล้ว หรือมีก็จำนวนน้อยมาก หายาก เป็นของมีค่าในตลาด
แบรนด์หรูๆที่เป็นที่นิยมมือ2 คงหนีไม่พ้น LOUIS VUITTON, CHANEL ตามด้วย HERMES กับ GUCCI ส่วนประเภทสินค้ายอดนิยมคือ กระเป๋า ตามด้วยนาฬิกา และอุปกรณ์อื่นๆ
นอกจากน้้น ตลาดมือ2 ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียในอย่างประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันตลาดดีงกล่าวเริ่มทรงตัว ไม่ได้มีการเติบโตหรือมีเสน่ห์มากนั กเหมือนในอดีต ที่ยิ่งใหญ่มีบทบาทในตลาดโลกอย่างมาก มูลค่าตลาดติดดับอันท็อปไฟว์ของโลกเลยทีเดียว (TOP 5 ) ซึ่งตลาดใหญ่ระดับโลกเช่น อเมริกา ญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศส เป็นต้น
สาเหตุที่ญี่ปุ่นถดถอยลง เนื่องจากว่า เป็นตลาดใหญ่มานาน แต่ปัจจุบันสินค้ามือสองเด่นๆและหายากเริ่มลดน้อยถอยลง ทำให้ตลาดไม่คึกคักเท่าที่ควร ไม่ค่อยมีแรงดึงดูดนักช้อปมากเท่าใด
ขณะที่ตลาดแบรนด์เนมมือ2ในไทยดีวันดีคืน เช่นเดียวกับแบรนด์เนมหรูที่เข้ามาตลาดเมืองไทยจำนวนมาก เปิดช้อปในไทยมากขึ้น แต่ละแบรนด์มาก็เล่นใหญ่ทั้งโมเดลชอป ท้ังสินค้า รายการโปรโมชั่น ยิ่งทำให้ตลาดมือ2 โตเป็นเงาตามตัวไปด้วย เพราะกล่มุคนที่ใช้มือ1 อยู่แล้ว ก็จะมีการเปลี่ยนสินค้าใหม่ต่อเนื่องบ่อยขึ้น ส่งผลให้สินค้าเข้าตลาดมือ2 มากขึ้น
ว่ากันว่า ประเทศไทย มีโอกาสที่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ2 จะเติบโตจนมาเทียบเคียงและแซงหน้าตลาดญี่ปุ่นได้ไม่ยากในเวลาอันใกล้นี้
ในตลาดรวมร้านค้าสินค้าแบรนด์เนมมือ2ในไทย มีผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก ว่ากันว่าไม่ต่ำกว่า 1 พันราย ที่เป็นผู้ค้า แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรายย่อยๆ ที่ไม่ได้มีบทบาทอะไรในตลาดรวมมากนัก
แต่หากมองในตลาดรวมที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่แล้ว มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้น เช่น Bagnifique.brandname, เอสเอฟ แบรนด์เนม, กลุ่มสหพัฒน์ ที่เปิดฉากรุกถึง 2 แบรนด์ คือ โคเมเฮียว ( KOMEHYO ) กับ แร็กแท็ก (RAGTAG) หรือแม้กระทั่งค่ายสยามพิวรรธน์ ที่เปิดตัวร้าน “Circular of Lux” เมื่อต้นปีที่แล้ว (พ.ศ.2567)
***** Bagnifique.brandname ขยายสู่เทรดดิ้ง
นางสาวธารารัตน์ อนุรัตน์บดี ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง Bagnifique.brandname ที่ดำเนินธุรกิจมา 13 ปีแล้ว กล่าวให้ความเห็นว่า การมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาสู่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ2 ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะได้ทำให้ตลาดมีการเติบโตมากขึ้นไปอีก อีกทั้งจะได้ช่วยกันสร้างมาตรฐานของธุรกิจนี้
“เพราะตลาดมีดีมานด์มากขึ้นต่อเนื่อง เมื่อตลาดเกิดดีมานด์และมีซัพพลายของคนที่ต้องการปล่อยของรักที่มีคุณค่าส่วนตัวออกมา ขณะเดียวกัน เกิดช่องทางการซื้อขายออนไลน์ที่หลากหลายและได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจซื้อขายแบรนด์เนมมือ2 ยังสามารถตอบสนอง ต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ตั้งแต่ผู้ที่มองหาความคุ้มค่าด้านราคาไปจนถึงผู้ที่ต้องการสินค้าหายากหรือสินค้ารุ่นพิเศษ ทั้งหมดเหล่านี้ จึงล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ตลาดซื้อขายสินค้าแบรนด์เนมมือ2ในไทยมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ2 ทั่วโลก”
นายธานี สามสีเจริญลาภ ซีเอฟโอฝ่ายการเงินและบัญชี Bagnifique.brandname กล่าวว่า ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ2 มีมูลค่าและขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากลูกค้าคนไทยและลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีทั้งเศรษฐี นักธุรกิจ นักลงทุน อินฟูเอนเซอร์ และผู้มีกำลังซื้อ ได้เข้ามาซื้อสินค้าแบรนด์เนมทั้งมือ1และมือ2ในไทยจำนวนมาก
สำหรับมูลค่าตลาดซื้อขายแบรนด์เนมมือ2 มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะหลังวิกฤติโควิด-19 ที่ตลาดซื้อขาย Luxury Brand ทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า และเครื่องประดับ accessory ต่างๆ เนื่องจากผู้บริโภค โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์และต้องการเป็นเจ้าของสินค้าที่มีคุณภาพสูง ในราคาที่จับต้องได้ และสามารถเข้าถึงแบรนด์หรูได้ในราคาที่ถูกกว่า แต่ยังคงคุณค่าของความเป็น Luxury Brand ทำให้แบรนด์เนมมือ2กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะราคาจะลดลงจากสินค้าใหม่ในช็อปมากถึง 30-70%
ขณะที่ สินค้า Luxury Brand ที่วางขายใน Shop ทั่วโลกหลายไอเทมหลายแบรนด์ที่เป็น "ตำนาน" กลับมีการประกาศปรับเพิ่มราคาสูงขึ้นทุกปี การซื้อแบรนด์เนมมือ2 จึงถือเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดและยั่งยืน ส่งเสริมคุณค่าการใช้ซ้ำและยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ ทำให้เกิดความยั่งยืน และผู้บริโภค Luxury Brand บางกลุ่มยังมองว่าสินค้ามือสอง เป็นวิธีในการหา “สินค้าหายาก rare item ”หรือ “สินค้ารุ่นพิเศษ” ที่ไม่สามารถหาซื้อได้จาก shop ทางการของแบรนด์ได้
นอกจากนี้ ช่องทางการจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมมือ 2 ในช่่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ได้รับการยอมรับและได้รับความนิยมมากขึ้น จึงทำให้เกิดการตกลงซื้อขายกันได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจที่ชะลอตัวช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้ทำให้มีการนำสินค้าแบรนด์เนมออกมาขายเป็น used หรือสินค้ามือ2เพื่อสร้างสภาพคล่องทางการเงินหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดให้กับเจ้าของหรือผู้ครอบครองได้ง่าย ขณะเดียวกัน ยังเกิด New money หรือ "เศรษฐีใหม่" ที่ต้องการใช้สินค้า Luxury Brand โดยเริ่มจากการใช้แบรนด์เนมมือ2
สะท้อนด้วยผลประกอบการหรือยอดบิลลิ่งมูลค่าการซื้อขาย ย้อนหลัง 4 ปี(2564-2567) ของ Bagnifique.brandname ที่โตแบบรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยปี2564 มีมูลค่าการซื้อขาย 164 ล้านบาท ปี2565 มูลค่า 210 ล้านบาท ปี2566 มูลค่า 480ล้านบาท และล่าสุดปี 2567 มีมูลค่าการซื้อขายรวมประมาณ 640 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 160 ล้านบาท จากปี2566 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 30 %
ปัจจุบัน Bagnifique.brandname มีร้านค้า 5 สาขา เริ่มที่ เมกาบางนา เริ่มต้นเมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา ทิ้งช่วง 3 ปีจึงขยายสาขาที่สองที่เซ็นทรัลเวสท์เกต ขณะที่ปีที่แล้วได้เปิดใหม่รวดเดียวถึง 3 แห่งคือที่ เดอะมอลล์บางกะปิ แฟชั่นไอส์แลนด์ และ ซีคอนสแควร์ นอกจากนั้นยังมีจำหน่ายช่องทางออนไลน์ด้วย
Bagnifique.brandname มีสินค้าแบรนด์เนมหรือ Luxury Brand มากกว่า 10,000 รายการ มูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาท ทั้งรุ่นยอดนิยม ไปจนถึงรุ่นหายาก ซึ่งระบบของบริษัทจะเน้นไปที่การรับซื้อขาดแล้วนำมาขายต่อ มีบุคลากรในการดูสินค้าจริงหรือปลอม ซึ่งต้องไปอบรมจากสถาบันที่เกี่ยวข้องและได้รับการยอมรับในสากล ขณะนี้บริษัทมี จำนวน 4 ราย
ขณะที่ส่วนใหญ่ในตลาดผู้ประกอบการจะใช้วิธีการรับฝากขายแล้วหักเปอร์เซนต์เป็นรายได้แบ่งกัน
กลยุทธ์หลักจากนี้ของ Bagnifique.brandname นางสาวธารารัตน์กล่าวว่า สำหรับแผนธุรกิจจากนี้ จะมีการขยายสาขาต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด และการร่วมมือกับพันธมิตรรีเทล เช่น สยามพิวรรธน์ และเอ็มสเฟียร์ ที่อยู่ระหว่างการเจรจารูปแบบการร่วมมือกัน จะมุ่งเน้นการซื้อสินค้ามาจำหน่ายต่อเป็นหลัก พร้อมทั้งขยายสู่การรับฝากขายเพิ่มขึ้นด้วย
รวมไปถึงการขยายธุรกิจในโมเดลเทรดดิ้ง ด้วยการเจรจาขายเป็นล็อตขนาดใหญ่ให้กับผู้ที่สนใจนำไปจำหน่ายต่อ ซึ่งจะมีทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งลูกค้าของบริษัทก็มีทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นางสาวธารารัตน์ กล่าวว่า โดยมีเป้าหมายที่จะยกระดับเป็นศูนย์กลางการซื้อขายสินค้าแบรนด์เนม อันดับหนึ่งของไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) และยังมีแผนระยะยาวภายใน 3-5ปี หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ที่จะนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อนำเงินมาขยายกิจการด้วย
**** “สหพัฒน์” ร่วมทุนโคเมเฮียวลุยมาแล้ว 6 ปี
กลุ่มสหพัฒน์ ที่รุกเข้าสู่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ2 ด้วยเช่นกัน ในรูปแบบของการร่วมทุน ร่วมมือ กับเครือข่ายใหญ่ของญี่ปุ่นทั้งสองราย คือ ร้านโคเมเฮียว (KOMEHYO) และร้าน RAGTAG
สำหรับแบรนด์แรก ทางสหพัฒน์ได้่ร่วมทุนกับทางกลุ่ม KOMEHYO (โคเมเฮียว) ผู้นำด้านสินค้าแบรนด์เนมมือสองที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศญี่ปุ่นกว่า 76 ปี เมื่อปี 2561 ตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท สหโคเมเฮียว จำกัด ปัจจุบันมี 5 สาขาในไทยแล้ว ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล@เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 2,ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลบางนา ชั้น 1, ศูนย์การค้า เทอร์มินอล 21 พระราม 3 ชั้น G, เจพาร์ค ศรีราชา นิฮอน มูระ ชั้น 2 New Town Zone และ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์โสตร์ บางกะปิ ซึ่งเป็นสาขาล่าสุด ที่เปิดเมื่อปีที่แล้ว และยังสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในไทยด้วยการนำเทคโนโลยี AI ตรวจสอบสินค้าผ่านกล้อง Microscope ที่โคเมเฮียว เป็นผู้ออกแบบเอง ที่สามารถตรวจสอบความละเอียดของสินค้าได้ถึง 99% ผ่านฐานข้อมูลของ โคเมเฮียว ที่มีอยู่มาอย่างยาวนาน
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า ร้านโคเมเฮียวในไทยปี 2562 มีรายได้รวม 18.81 ล้านบาท ขาดทุน 16.83 ล้านบาท, ปี 2563รายได้รวม 114.53 ล้านบาท ขาดทุน 5.75 ล้านบาท, ส่วนปี 2564 รายได้รวม 189.87 ล้านบาท กำไร 7.61 ล้านบาท และปี 2565 รายได้รวม 311.58 ล้านบาท กำไร 13.02 ล้านบาท
สำหรับ KOMEHYO ประเทศญี่ปุ่นมีรายได้ (ปีปฏิทินญี่ปุ่น เมษายน-มีนาคม)
ปี 2563 รายได้รวม 57,510 ล้านเยน ขาดทุน 234 ล้านเยน (รายได้ 13,908 ล้านบาท ขาดทุน 56 ล้านบาท)
ปี 2564 รายได้รวม 50,723 ล้านเยน ขาดทุน 596 ล้านเยน (รายได้ 12,267 ล้านบาท ขาดทุน 144 ล้านบาท)
ปี 2565 รายได้รวม 71,148 ล้านเยน กำไรสุทธิ 2,259 ล้านเยน (รายได้ 17,207 ล้านบาท กำไร 542 ล้านบาท)
ปี 2566 รายได้รวม 86,113 ล้านเยน กำไรสุทธิ 3,706 ล้านเยน (รายได้ 20,826 ล้านบาท กำไร 896 ล้านบาท)
*** ไอซีซี ควง แร็กแท็ก ลุยเพิ่มอีกแบรนด์
ส่วนร้านอีกแบรนด์หนึ่งของสหพัฒน์ คือ ร้านแร็กแท็ก” (RAGTAG) โดยทางเครือสหพัฒน์ ได้นำเอาบริษัท บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กลุ่มบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศไทยเข้าร่วมทุนกับทางบริษัท เวิลด์ จำกัด บริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าชั้นนำของญี่ปุ่น และบริษัทแม่ของ Tin Pan Alley Co., Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการ “แร็กแท็ก” (RAGTAG) เพื่อดำเนินธุรกิจร้านแร็กแท็ก จำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมมือ2ในไทยอย่างเป็นทางการ
ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผนึกรวมความเชี่ยวชาญของผู้นำในอุตสาหกรรมทั้งสองเข้าด้วยกัน เพื่อปูทางไปสู่การขยายธุรกิจแฟชั่นที่ยั่งยืนและเป็นผู้นำ เทรนด์ในประเทศไทย
สำหรับ “แร็กแท็ก” (RAGTAG) เป็นชื่อชั้นนำของญี่ปุ่นในด้านร้านค้าแฟชั่นหรูมือสองซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีร้านค้า 23 แห่งที่เปิดดำเนินการในญี่ปุ่นหลังจากเปิดร้านแห่งแรกในฮาราจูกุ โตเกียว ในปี 2528 บริษัทซื้อสินค้า 700,000 ชิ้นต่อปี และสินค้าที่ซื้อทั้งหมดจะถูกนำมาจัดสรรในคลังสินค้ากลาง พร้อมตรวจสอบคุณภาพ และซ่อมแซมก่อนจำหน่าย นอกเหนือจากการจำหน่ายในร้านแล้ว บริษัทยังนำผลิตภัณฑ์จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีความรวดเร็วอีกด้วย ในส่วนของผลิตภัณฑ์มีจำหน่ายหน้าร้านค้าเป็นสินค้ามือสองคุณภาพสูงที่คัดสรรโดยผู้ที่มีประสบการณ์เฉพาะทาง และทำลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงความสุขในการเลือกซื้อสินค้าด้วยความสบายใจ ส่งผลให้สามารถดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบแฟชั่นและรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดสินค้าแฟชั่นมือสองมาโดยตลอด
*** “สยามพิวรรธน์” รุกชื่อ “Circular of Lux”
ทางด้าน สยามพิวรรธน์ บริษัท สยามพิวรรธน์ รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ก็รุกตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือ2 โดยได้เปิดตัวแพลทฟอร์มธุรกิจใหม่ คือ การเปิดร้าน “Circular of Lux” เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งของแพลตฟอร์มการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน
โดย “Circular of Lux” จะเป็นศูนย์กลางการให้บริการส่งต่อและแลกเปลี่ยนสินค้าลักซ์ซูรี่แบรนด์ชั้นนำให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าจากสยามพารากอน หรือไอคอนสยาม หรือเป็นร้านที่รับบริการฝากขายสินค้าแบรนด์เนมมือสองบนพื้นที่กว่า 300 ตารางเมตร ณ ชั้น M สยามดิสคัฟเวอรี่”
เบื้องต้นร้านนี้จะรับบริการฝากขายเฉพาะลูกค้าที่ซื้อสินค้าแบรนด์เนมในกลุ่มสินค้าที่กำหนดช่วงแรกคือ กระเป๋า แฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องประดับ รองเท้า รวมถึงสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษ สินค้าลิมิเต็ดเอดิชั่น โดยช่วงแรกวางขายที่ร้านหากครบ1 เดือน ถ้่ายังจำหน่ายไม่ออก ก็จะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนออกไป แต่ถ้าหากจำหน่ายได้ก็จะมีการเสียค่าธรรมเนียมเบื้องต้นตามที่มีการกำหนดตกลงกันเอาไว้แล้วแต่กรณี ขณะนี้มีสินค้าในระบบแล้วประมาณ 300 ชิ้น ราคาตั้งไว้เฉลี่ยเริ่มที่ 100,000 บาทต่อชิ้น
โดยสินค้าทั้งหมดจะผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่กำหนดโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และได้รับประกาศนียบัตร พร้อมทั้งเทคโนโลยีในระบบ AI ที่ตรวจสอบได้อย่างละเอียดแม่นยำ นอกจากนี้ ยังมีระบบการจัดเก็บสินค้าที่ได้มาตรฐานเทียบเท่าร้านค้าชั้นนำระดับโลก พร้อมระบบรักษาอุณหภูมิตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะได้รับการดูแลและสามารถส่งต่อถึงผู้รับได้อย่างมีคุณภาพ ด้วยความใส่ใจดูแลเป็นอย่างดีจากเรา
ในอนาคต มีแผนที่จะขยายกลู่มลูกค้าใหม่ กลุ่มสินค้าใหม่ การเปิดบริการในส่วนของลูกค้าที่ซื้อสินค้าแบรนด์เนมที่ห้างอื่นด้วย
นอกจากนั้นยังมีแบรนด์2nd Street (เซคันด์ สตรีท) ศูนย์แบรนด์มือสองชั้นนำอาทิ กระเป๋า, หมวก, เครื่องประดับ, เฟอร์นิเจอร์, ของใช้ในบ้าน ทั้งแบรนด์ญี่ปุ่นและต่างประเทศ ที่มีสาขากว่า 900 แห่งทั่วโลก ก็เข้ามาเปิดตลาดในไทยด้วยการบริหารโดยตรงจากญี่ปุ่นเข้ามาเปิดสาขาแรกที่บิ๊กซี พระราม 4 เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าขยายสาขาอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคาดว่ามีประมาณ 3-4- สาขา