เน็ตเบย์คาดผลงานไตรมาส 4 เติบโตระดับ 15-17% ขณะที่ตั้งเป้ารายได้ปี 68 คาดเติบโต 10-15% จาก Recurring Base และร่วมทุนกับพันธมิตรลุยด้านโซลูชัน เผยดีลกลางปีหน้าลงขันทำแพลตฟอร์ม garage lending หนุนอู่ซ่อมรถเข้าถึงแหล่ง NETBAY ถือหุ้น 10% เตรียมรับรายได้ค่าธรรมเนียม ลุ้นได้งานเดิมเฟสใหม่เพิ่ม
น.ส.กอบกาญจน์ วีระพงษ์ประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY เปิดเผยว่าผลงานไตรมาส 4 คาดเติบโตในทิศทางเดียวกับไตรมาส 2 และ 3 ที่โตเฉลี่ย 15-17% ขณะที่ปี 68 เติบโตจากปี 67 ระดับ 10-15% ซึ่งเป็นการเติบโตจากการใช้กลยุทธ์หลัก 5 แกน คือเติบโตจาก Recurring Base ซึ่งถือเป็น Organic growth สร้างนวัตกรรมและ Product ใหม่ๆ เติบโตจากการทำงานร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ เติบโตจากการทำงานร่วมกับพันธมิตรด้านโซลูชัน และเติบโตจากการทำโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (In-organic growth)
ขณะที่อีกการเติบโตคือจากการร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งในปี 68 NETBAY มีดีลที่จะเกิดขึ้นคือการทำแพลตฟอร์ม garage lending อันจะช่วยให้อู่ซ่อมรถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ ด้วยการร่วมลงทุนกับพันธมิตรอีก 3 ราย เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ เบื้องต้นนั้นจะแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นคือ บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO 35% BBG 35% SITEM 20% และ NETBAY 10% ของทุนจดทะเบียนเริ่มแรกที่ 10 ล้านบาท คาดเริ่มดำเนินการได้ไตรมาส 2-3 ปี 68 ซึ่งธุรกิจนี้คาดหวังเพื่อความสะดวกให้บริษัทประกันเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้บริการ ที่สำคัญทำให้อูซ่อมรถได้รับเงินเพื่อมาใช้หมุนเวียนได้เร็วขึ้น ขณะที่ NETBAY จะรับรายได้ที่เป็นค่าธรรมเนียม
นอกจากนี้ NETBAY ยังเดินหน้าความร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม หรือกรมลดโลกร้อน ซึ่ง NETBAY ได้ร่วมมือกันบริหาร บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG ในการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างเครื่องมือ รวมทั้งทำแพลตฟอร์มกลางสำหรับเก็บข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของไทย เฟสแรก และยังจะขยายไปในเฟสต่อไป เช่นเดียวกับโครงการ smart zero ที่จะพัฒนาต่อเนื่องไปในเฟส 2
น.ส.กอบกาญจน์ กล่าวอีกว่าการที่ NETBAY มีบริษัทลูกอย่างบริษัท ฟินเน็ต เวนเจอร์ จำกัด และบริษัท เคลาด์ ครีเอชั่น จำกัด ซึ่ง NETBAY ถือหุ้น 100% โดยเคลาด์ ครีเอชั่น เป็นผู้ให้บริการระบบบริหารจัดการข้อมูล ระหว่างสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการอาชีพมาตรา 16 และสำนักงาน ปปง. เพื่อส่งข้อมูลรายงานการทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมาย
ขณะที่ฟินเน็ต เวนเจอร์ จะให้บริการดิจิทัล แพลตฟอร์มแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด “Enhance Business with Smart Compliance Solution” โดยใช้ชื่อแพลตฟอร์มว่า “Check+” ซึ่งเป็นการพัฒนา Feature ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากแพลตฟอร์ม CDD Gateway เพื่อให้บริการกับกลุ่มสถาบันการเงิน ผู้ประกอบอาชีพตามมาตรา 16 และกลุ่มผู้ประกอบการอื่นๆ ที่มีความต้องการนำ IT Compliance เข้าไปใช้เพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และรองรับการปฏิบัติตามกฎหมายที่ถูกต้อง และจะขยายไปในกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่ม
"เราเป็นบริษัทที่ต้องมองการทำงานกว้างขึ้น และภายใต้ธุรกิจเดิม ซึ่งต้องหาช่องทางในการเพิ่มรายได้ การอ่านระบบการทำงานออก จะช่วยให้เราเข้าไปทำรายได้เพิ่มจากทุกแกนทุกโครงการที่เราทำอยู่ และเชื่อว่าหากเราให้บริการที่ดีเป็นที่ยอมรับได้ต่อเนื่อง เราสามารถหาลูกค้าใหม่ๆ ได้ เราต้องอ่านทิศทาง มองให้เข้าใจและทันกับดาต้า เซ็นเตอร์ ที่กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตปัจจุบัน เรามีโอกาสทั้งนั้น แต่ต้องเลือกที่จะเข้าไป และนั่นคือช่องทางที่เราจะสร้างรายได้" น.ส.กอบกาญจน์ กล่าว