นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 68 ว่า ภาพรวมในช่วงครึ่งปีแรกอาจไม่สดใจ เนื่องจากความเสี่ยงที่อาจเข้ามากระทบต่อบรรยากาศการลงทุน เช่น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตชะลอตัวต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่น่าจะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว รวมทั้งเศรษฐกิจจีนที่เริ่มดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยประเมินเป้าหมาย SET Index ปี 68 ที่ 1,485 จุด P/E 16 เท่า และคาดการณ์กำไร บจ. (EPS) ที่ระดับ 95 บาท
นายชัยพร กล่าวว่า หากมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน เช่น อัตราดอกเบี้ยของไทยและต่างประเทศปรับลดลงต่อเนื่อง สงครามตะวันออกกลาง รวมทั้งสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนคลี่คลายลง และการลงทุนของภาครัฐมาตามนัด อาจหนุนให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นได้ประมาณ 100 จุด หรือกรณี Bull case มองตลาดหุ้นไทยไปได้มากสุดที่ 1,585 จุด
แม้ว่านักลงทุนไม่ได้คาดหวังการลงทุนภาครัฐมากนัก แต่หากการจัดตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ทำได้จริงอาจช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงส่งผลบวกต่อภาคการก่อสร้างและการจ้างงานภายในประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 68 ท่ามกลางความผันผวน แนะนำเน้น Asset Allocation กระจายการลงทุนไปในตราสารหนี้เป็นหลัก ส่วนที่เหลือให้น้ำหนักในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ สัดส่วนราว 20% (ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง จะปรับมุมมองการลงทุนอีกครั้งในช่วงเดือน ก.พ.68) โดยเน้นหุ้นกลุ่มปลอดภัย (Defensive) พื้นฐานแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เพื่อรับมือกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อเนื่องและปรับตัวต่ำสุดในช่วงไตรมาส 2/68 เช่น กลุ่ม Commerce ที่เน้นการบริโภคและการใช้จ่ายประจำวัน เช่น CPALL ,CPAXT และ COM7 กลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว AOT
ขณะที่การกระจายการลงทุนในต่างประเทศ มองตลาดหุ้นเวียดนามน่าสนใจด้วยราคาที่ไม่แพง กำลังซื้อในประเทศยังดี แต่อาจมีแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของนโยบายกำแพงภาษี ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจแต่ราคาหุ้นอยู่ในระดับสูง คาดว่าจะมีการปรับฐานลงมา 10-15% เป็นจุดที่ บล.บัวหลวง จะเข้าไปเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อีกครั้ง รวมทั้งตลาดหุ้นอินเดียที่มีกำลังซื้อของประชากรในประเทศสูง แต่อาจต้องรอปรับฐานอีกครั้ง
พร้อมเตือนนักลงทุนระมัดระวังการลงทุนในกลุ่ม Auto เหตุจากธนาคารและไฟแนนซ์ยังคุมเข้มเรื่องการปล่อยกู้ และการเปลี่ยนพฤติกรรมมาสู่รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับกลุ่มปิโตรเคมีตอนนี้ภาพรวมยังไม่ค่อยดีนัก เป็นไปตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน ประกอบกับบริษัทในเอเชียมีการขยายกำลังการผลิตในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้สร้างแรงกดดันต่ออัตราการทำกำไรของบริษัทในธุรกิจนี้ ซึ่งในปี 67 บางบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากการทำรายการบัญชีพิเศษจนฉุดงบการเงิน ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปีหน้าอาจอยู่ระดับ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังกำลังการผลิตและดีมานด์ปรับตัวลดลง โดยภาพรวมแล้วกลุ่มพลังงานและกลุ่มโรงกลั่นน่าจะออกมาดีกว่ากลุ่มปิโตรเคมี
"ตลาดหุ้นที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้นในปีหน้า การสร้างผลตอบแทนในสินทรัพย์ทางเลือกถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝง (Structured Note) ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนประมาณ 6-10% ต่อปี ส่วนผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามการลงทุน เราแนะนำเครื่องมือช่วยสร้างโอกาสรับผลตอบแทนอย่างยั่งยืน ด้วยการออมหุ้นอัตโนมัติผ่านกลยุทธ์ DCAMIXB-A และการจัดพอร์ตกองทุนรวมแบบอัตโนมัติ (Auto Top Funds Portfolio) ที่มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมืออาชีพคอยดูแลอย่างใกล้ชิด"
นายชัยพร กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือน พ.ย.67 สร้างผลตอบแทนที่ระดับ 5.2% ถือว่าทำผลงานได้ไม่ดีนักเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชีย โดยช่วงที่ผ่านมาได้รับแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ เช่น เศรษฐกิจโลกเติบโตชะลอลง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน การส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าหลายๆ ประเทศต่ำกว่าคาด และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ เป็นต้น ส่งผลให้นักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้น ด้วยการปรับกลยุทธ์หันมาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้มากขึ้น
ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 67 ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินว่า หลังจาก SET เริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 ปัจจัยสนับสนุนหลักจากการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ขนาด 1.5 แสนล้านบาท และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่เริ่มปรับตัวลดลง แต่เมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นได้ระดับหนึ่งก็ถูกเทขายเพื่อรอดูตัวเลขกำไร บจ. และข้อมูลด้านเศรษฐกิจต่างๆ
ล่าสุด บริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ติดลบ 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือว่าออกมาต่ำกว่าตลาดคาด จากภาพกำไร บจ.ออกมาค่อนข้างอ่อนแอ ทำให้เรายังเห็นภาพการปรับประมาณการณ์กำไรลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเรายังคาดว่าจะเห็น New Year Rally เกิดขึ้นได้ เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกหนึ่งครั้งราว 0.25% ก่อนสิ้นปี และกองทุนเพื่อหักลดหย่อนภาษีที่จะเข้าสู่ตลาดหุ้นในเดือนธ.ค.67 คาดว่าจะมีเม็ดเงินราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท
"ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดัน หลังจากงบไตรมาส 3/67 ของหลายบริษัทออกมาไม่ดีเท่าที่คาดการณ์ไว้ทำให้ภาพรวมของตลาดมีความเปราะบางมากขึ้น เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้น เพราะดัชนีชี้วัดหลายตัวกำลังส่งสัญญาณไปในทิศทางที่ผสมผสานไม่ได้แสดงความชัดเจนต่อทิศทางตลาดหุ้น เช่น อัตราการทำกำไรบริษัท อัตราขยายตัวกำไรบริษัท ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนการลงทุนระหว่างตราสารหนี้และตราสารทุน โดยเรายังคงมีมุมมองเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2567 แถว 1,430 จุด" นายชัยพร กล่าว
ส่วนมุมมองเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4/67 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาที่ราว 3.6% หลัง GDP ไตรมาส 3/67 ขยายตัว 3% (มากกว่าตลาดคาดที่ 2.4%) เหตุผลสนับสนุนมาจากฐานต่ำและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท ที่น่าจะแจกเฟสสองให้กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเร็วกว่าที่คาดไว้ ขณะที่มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจะทยอยออกมาเพิ่มเติมก่อนสิ้นปีนี้ ล่าสุดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเตรียมนำเสนอโครงการ "แอ่วเหนือคนละครึ่ง" กระตุ้นท่องเที่ยวภาคเหนือ 2 จังหวัด (เชียงใหม่-เชียงราย) ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง High Season จะอยู่ราว 9.5 ล้านคน และน่าจะทำให้ยอดทั้งปีแตะระดับ 35.6 ล้านคน
"อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ยังคงมีความเสี่ยงด้านการส่งออกที่มองว่าน่าจะชะลอตัวลงแรงกว่าที่คาด จากดีมานด์ของเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีนที่ชะลอลง ทำให้เรายังคงยืนยันมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งปี 67 เติบโตที่ 2.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา"