พริมา มารีน อวดกำไรสุทธิไตรมาส 3 แตะ 494.3 ล้านบาท โต 48% ตามกลยุทธ์ขยายกองเรือ ปรับแผนการลงทุน อัตราการใช้งานเรือ FSU เพิ่มขึ้น แย้มไตรมาส 4 ฟอร์มสวย ท่องเที่ยวหนุนยอดใช้น้ำมัน พร้อมเดินหน้ารับรู้รายได้ “วี.ซี.ชิปปิ้งฯ” หลังเข้าเทกโอเวอร์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หนุนภาพรวมทั้งปี 67 เติบโตตามแผน
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 มีรายได้จากการให้บริการ 2,170.5 ล้านบาท เติบโต 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการให้บริการจำนวน 1,835.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 494.3 ล้านบาท โต 48% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 333.8 ล้านบาท
โดยปัจจัยสนับสนุนให้ผลประกอบการเติบโต ประกอบด้วย ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปและเคมี (Petroleum and Chemical Tankers “PCT”) ที่มีรายได้เติบโต 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเพิ่มเรือขนส่งเคมีเหลว 1 ลำ ตั้งแต่ไตรมาส 4/2566 และเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูป 1 ลำ ตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 และการขยายฐานลูกค้าการขนส่งเคมีเหลวไปประเทศมาเลเซีย รวมถึงปริมาณการขนส่งน้ำมันอากาศยาน Jet A-1 ในประเทศที่มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น โดยปลายไตรมาส 3/2567 บริษัทได้ขายเรือขนาดเล็กที่มีอายุมากและมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงออกไป 1 ลำ และเตรียมนำเรือต่อใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานมาทดแทน
ธุรกิจเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (Floating Storage Unit “FSU”) มีอัตราการใช้งานเพิ่ม สูงขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง โดยในไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ระดับ 82% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 52% ส่งผลให้รายได้ไตรมาส 3/2567 โต 66% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจเรือสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Offshore Support Vessel “OSV”) มีรายได้เติบโตอย่างโดดเด่น จากการให้บริการเรือ AWB 1 ลำ และ Hybrid Crew Boat 2 ลำเพิ่มเติม ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ไตรมาส 3/2567 โตกว่า 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจตัวแทนสายเดินเรือและออกของ (Ship Agent and Shipping “SAS”) มีรายได้โต 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากการขยายการให้บริการ Shipping ไปยังลูกค้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ในขณะต้นทุนค่านายหน้าเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย
ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบ (Crude Oil Carrier “COC”) ไตรมาส 3/2567 มีรายได้ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการนำเรือ Aframax เข้าอู่แห้งเพื่อปรับเปลี่ยนให้เป็นเรือกักเก็บปิโตรเลียมเพื่อสนับสนุนการผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล (Floating Storage and Offloading Vessel “FSO”) และจะเริ่มให้บริการลูกค้าตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 ภายใต้สัญญา Bareboat Contract ระยะยาว ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ที่แน่นอน โดยไม่มีความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาเชื้อเพลิง
โดยผลประกอบการในช่วง 9 เดือนปี 2567 มีรายได้จากการให้บริการ 6,689.7 ล้านบาท โต 11% และกำไรสุทธิ 1,761.5 ล้านบาท โต 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4/2567 คาดมีทิศทางที่เติบโตต่อเนื่อง จากการเข้างานของเรือ FSO ข้างต้น ประกอบกับฤดูกาลท่องเที่ยวที่หนุนปริมาณการขนส่งน้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันอากาศยานในประเทศเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการ บจก.วี.ซี.ชิปปิ้ง แอนด์ เซอร์วิส บริษัทชั้นนำในด้านธุรกิจ Shipping ของสินค้าในกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี ตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป หลังได้เข้าซื้อกิจการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา พร้อมผลักดันแผนเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดได้จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ "TMS Offshore Ventures Inc" เพื่อดำเนินธุรกิจประเภทให้บริการขนส่งสนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล ด้วยทุนจดทะเบียน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการแก่ลูกค้าต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจพะพร้อมให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นไป