นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (1 พ.ย.) ที่ระดับ 33.81 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.65-34.00 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ) โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงในลักษณะ Sideways Up (กรอบการเคลื่อนไหว 33.74-33.90 บาทต่อดอลลาร์) โดยในช่วงแรกเงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ออกมาดีกว่าคาด ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE เดือนกันยายนอออกมาสูงกว่าคาดเล็กน้อย ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดผันผวน หลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรปต่างปรับตัวลดลงจากความผิดหวังต่อรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลงหนักราว -50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ อย่างไรก็ดี เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าลงต่อเนื่องตามแรงขายของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งเงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ก่อนที่จะรับรู้ทั้งรายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ และผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งผลโพลล่าสุดต่างสะท้อน คะแนนความนิยมของผู้ท้าชิงจากทั้งสองพรรคที่สูสีกันมาก
สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานเดือนตุลาคม ทั้งยอดการจ้างงานยอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อัตราการว่างงาน (Unemployment) และอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Average Hourly Earnings) รวมถึงรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) เดือนตุลาคม ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้
นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่าผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย สำหรับข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ และช่วง 21.00 น. สำหรับรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม
โดยเราประเมินว่า ในช่วงก่อนรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ดังกล่าว เงินบาทยังคงมีโซนแนวต้านแถว 33.85 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไปจะอยู่แถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์) ซึ่งเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าทดสอบโซนดังกล่าวได้ไม่ยาก หากบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรปได้กดดันบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นเอเชียเช่นกัน จนทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ หลังมีรายงานข่าวว่าทางการอิหร่านกำลังเตรียมโจมตีตอบโต้อิสราเอล ก็อาจทำให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบได้เช่นกัน ทว่า เงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หลังราคาทองคำได้ทยอยรีบาวนด์ขึ้นจากช่วงคืนก่อนหน้า อีกทั้งผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่างฝั่งผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในช่วงเงินบาทอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้านที่เราประเมินไว้ อนึ่ง หากเงินบาทสามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งอาจต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ให้ออกมาแย่กว่าคาดชัดเจน เราประเมินว่า เงินบาทอาจพอมีโซนแนวรับแรกจะอยู่ในช่วง 33.65 บาทต่อดอลลาร์ และมีแนวรับถัดไปแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ เรามองว่าควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวอาจมีคุณภาพต่ำกว่าปกติ จากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนและการประท้วงหยุดงานของ Boeing ในช่วงเดือนตุลาคม ทำให้มีโอกาสที่ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจออกมาต่ำกว่าคาดได้พอสมควร (นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมิน ยอดการจ้างงาน +1 แสนตำแหน่ง) หรืออาจเห็นยอดการจ้างงานดังกล่าว “ติดลบ” ได้ ซึ่งในช่วงแรกตลาดอาจจะตอบรับข้อมูลดังกล่าวในเชิงลบหรือกังวลต่อแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ มากขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงได้พอสมควร ตามการเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยต่อเนื่องหรือเร่งลดดอกเบี้ย ทว่า เราอยากแนะนำให้ประเมินสภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านยอดการจ้างงานในส่วนของรายงาน Household Survey (Nonfarm Payrolls จะอยู่ในส่วนของ Establishment Survey) ซึ่งจะสะท้อนภาพการจ้างงานได้ดีกว่าในช่วงเผชิญปัจจัยกดดันชั่วคราว อย่างสภาพอากาศที่แปรปรวน โดยข้อมูลใน Household Survey ที่น่าสนใจ คือ อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ซึ่งเรามองว่า อาจไม่ได้แตกต่างจากข้อมูลในเดือนก่อนหน้ามากนัก เช่นอยู่แถวโซน 4.1%-4.2% ทำให้โดยรวม ผู้เล่นในตลาดจะกลับมาเชื่อว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก ตาม Nonfarm Payrolls ทำให้มีโอกาสที่เงินดอลลาร์และบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจรีบาวนด์สูงขึ้นได้อย่างรวดเร็วในระยะสั้น เพราะธีม Trump Trades ยังคงอยู่