ปูนซิเมนต์ไทยหั่นลดเป้ารายได้อีกในปี67โตแค่ 3%จากปีก่อนที่รายได้จากการขาย 4.99 แสนล้านบาท พร้อมหยุดเดินเครื่องโครงการLSPที่เวียดนามนาน 6เดือน เหตุยิ่งผลิตยิ่งขาดทุน ชี้เศรษฐกิจโลกผันผวน ปิโตรเคมีตกต่ำลากยาว ทำให้ SCCแก้เกมระยะสั้น ลดต้นทุนทั้งองค์กร ปิดกิจการที่ไม่กำไรและตัดขายสินทรัพย์
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดรายได้ในปี2567อีกรอบเป็นเติบโตขึ้น 3%จากปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 499,646 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 8,418 ล้านบาท จากเดิมที่บริษัทเคยตั้งเป้ารายได้เติบโตขึ้น 10% โดยช่วง 9เดือนแรกปีนี้ SCCมีรายได้รวม 380,660ล้านบาท โต0.4%จากปีก่อน และกำไรสุทธิ 6,854ล้านบาท ลดลง75%จากปีก่อน
นอกจากนี้บริษัทตัดสินใจหยุดเดินเครื่องโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP)ที่เวียดนามชั่วคราวเป็นเวลา 6เดือนนับตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากได้เดินเครื่องเชิงพาณิชย์เมื่อเดือนกันยายน 2568 สาเหตุจากสถานการณ์ราคาปิโตรเคมีตกต่ำมาก มีกำลังการผลิตใหม่จากจีน และความต้องการเคมีภัณฑ์โลกชะลอตัว ส่งผลให้ส่วนต่างราคาHDPEกับแนฟทา(สเปรด)อยู่ที่ 300เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำมากผลิตแล้วขาดทุน
อย่างไรก็ดี หากสเปรด HDPE อยู่ที่400 เหรียญสหรัฐ/ตัน โครงการLSP ก็พร้อมที่เดินเครื่องใหม่อีกครั้ง ซึ่งการหยุดเดินเครื่องโครงการLSP ทำให้บริษัทมีภาระค่าใช้จ่ายทั้งดอกเบี้ยจ่าย ค่าแรงพนักงาน ค่าเสื่อมราคาและอื่นๆรวม 20ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
นายธรรมศักดิ์ กล่าวต่อไปว่าจากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนรุนแรง วัฏจักรปิโตรเคมีโลกที่อ่อนตัวลากยาว สงครามการค้าสหรัฐอเมริกาและจีน ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสินค้าจีนเข้ามาทุ่มตลาดในประเทศ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ล้วนเป็นความท้าทายที่ต่อการดำเนินธุรกิจซึ่งปัจจัยลบมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อยาวนาน ทำให้ SCCต้องแก้เกมระยะสั้นเพื่อให้องค์กรอยู่รอด โดยได้กำหนดลดต้นทุนทั้งองค์กรราว 5,000ล้านบาทภายในปี2568 การลดเงินทุนหมุนเวียน 10,000 ล้านบาทภายในไตรมาส1/2568 ยกเลิกกิจการที่ไม่ทำกำไร เช่น SCG Express และธุรกิจดิจิทัลเทคโนโลยี OITOLABS ประเทศอินเดีย ซึ่งขณะนี้SCCอยู่ระหว่างการพิจารณากิจการที่ไม่ทำกำไรโดยไล่ปิดกิจการให้แล้วเสร็จในกลางปีหน้า เพื่องให้องค์กรเข้มแข็งขึ้นรวมถึงการขายสินทรัพย์ (Asset Divestment ) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและรักษาเสถียรภาพการเงิน และรักษาEBITDAให้อยู่ระดับที่สามารถแข่งขันได้ต่อเนื่อง
ในระยะยาว เรื่องกรีน Inclusive Green Growth ยังเป็นโอกาสและความได้เปรียบทางธุรกิจ ดังนั้นจึงเร่งลงทุนโครงการอีเทนที่ LSP เพื่อลดต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้าอีเทนจากสหรัฐอเมริกา ด้วยงบลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างถังเก็บอีเทนและสาธารณูปโภคการรับวัตถุดิบ (Supporting Facilities) คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 2570 ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาว และเพิ่มความยืดหยุ่นของวัตถุดิบในการผลิต
“โครงการ LSP เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา และสามารถผลิตได้ 74,000 ตัน โดยเป็นยอดขายในช่วงทดลอง ทั้งนี้ ธุรกิจมุ่งบริหารจัดการการผลิตของโรงงานทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) โรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) และโรงงาน LSP ให้เหมาะสมกับราคาวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้โรงงาน LSP ได้หยุดการเดินเครื่อง เพื่อบริหารต้นทุนธุรกิจโดยภาพรวม แต่จะมีการประเมินการกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง เมื่อสถานการณ์เหมาะสม”
ส่วนงบลงทุนในปี2568 บริษัทคาดว่าจะใช้งบลงทุนต่ำกว่า 4หมื่นล้านบาท จากปีนี้ที่ใช้งบลงทุนราว 3.7หมื่นล้านบาท