นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เผยภาพรวมการลงทะเบียนขอรับสิทธิโครงการเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกที่เปิดให้ประชาชนที่มีสมาร์ทโฟนได้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" ที่เริ่มเปิดลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 08.00 น. ว่า เพียง 6 ชั่วโมงมีประชาชนมาลงทะเบียนแล้ว 10.5 ล้านคน ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในการเดินหน้าโครงการ
รมช.คลัง ชี้แจงด้วยว่า กรณีตั้งแต่ช่วงเช้าที่ประชาชนลงทะเบียนไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็นเพราะแอปล่ม แต่เนื่องจากมีผู้เข้ามาลงทะเบียนพร้อมกันจำนวนมากในช่วงเวลาเดียวกัน จึงทำให้ระบบมีการสะดุดไปบ้าง แต่เชื่อว่าหลังจากนี้สถานการณ์จะดีขึ้น เมื่อประชาชนค่อยๆ ทยอยลงทะเบียนต่างช่วงเวลากัน
"ระบบไม่ได้ล่ม แอปทางรัฐเข้าได้ตลอด มีบางจังหวะที่คนโหลดพร้อมกันมากๆ ช่วง 5 นาทีแรกล้านกว่าคน ต้องมีอาการสะดุด แต่ไม่ได้ล่ม หลังจากมีคนเข้ามาแล้ว 10 ล้านคน และกระจายตัวกันไป ไม่มาถมนาทีใดนาทีหนึ่ง ระบบน่าจะเสถียร" รมช.คลัง กล่าว
อย่างไรก็ดี ประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านแล้ว จะมีขั้นตอนการตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องว่ามีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขโครงการหรือไม่ โดยรัฐบาลจะแจ้งผลให้ทราบพร้อมกันในวันที่ 22 ก.ย.นี้ ผ่านแอปทางรัฐ
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า รัฐบาลจะเปิดแถลงรายละเอียดโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ครั้งที่ 2 ประมาณวันที่ 10-15 ก.ย.นี้ ซึ่งจะเปิดเผยรายละเอียดการลงทะเบียนสำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน และกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง ตลอดจนร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการ ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะมีร้านค้าไม่ต่ำกว่า 2-3 ล้านแห่งที่จะเข้าร่วมโครงการ ส่วนเรื่องกระบวนการภาษีที่ร้านค้ากังวลนั้น ยืนยันว่าไม่มีการส่งข้อมูลไปที่กรมสรรพากรโดยตรง
ส่วนกรณีที่เริ่มเห็นประชาชนไปย้ายทะเบียนบ้าน เพื่อต้องการใช้สิทธิโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น รมช.คลัง กล่าวว่า เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าต้องทำ เพราะรัฐบาลจะเปิดให้มีระยะเวลาที่สามารถใช้จ่ายได้ 6 เดือน ซึ่งครอบคลุมช่วงเทศกาลวันหยุดยาวในช่วงปีใหม่ และสงกรานต์ ประชาชนที่ทำงานอยู่ต่างพื้นที่ทะเบียนบ้าน ก็สามารถกลับไปใช้สิทธิในจังหวัดของตัวเองตามภูมิลำเนาได้
ส่วนประเด็นที่ขณะนี้ รัฐบาลยังไม่กำหนดวันใช้จ่ายเงินนั้น เป็นเพราะยังมีแนวโน้มว่าจะเลื่อนเร็วขึ้น หรืออาจช้าลง แต่เป็นแค่หลักสัปดาห์เท่านั้น หากแอปพลิเคชันและการทดสอบระบบต่างๆ มีความพร้อมแล้วจะประกาศรายละเอียดวันที่จะเริ่มใช้จ่ายต่อไป
นายจุลพันธ์ ระบุถึงกรณีที่มีการตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงไม่แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้ประชาชนทุกคนว่า รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งให้ความเห็นเรื่องคนที่มีรายได้ มีเงินเก็บเพียงพอ ซึ่งหากได้เงินดังกล่าวไปมีแนวโน้มที่จะเอาไปเก็บออมมากกว่าการใช้จ่าย ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ จึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องรายได้ต่างๆ ออกมา
อย่างไรก็ดี โครงการจะมีหน่วยงานที่ตรวจสอบความโปร่งใสในการใช้จ่าย โดยหากพบธุรกรรมที่ผิดปกติ เช่น มีการตกลงกับร้านค้าเพื่อแลกเป็นเงินสด จะมีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบ หากพบว่าทำผิดจริงจะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป แต่ส่วนตัวมองว่าหลักความคิดเรื่องการนำสิทธิเงิน 10,000 บาท เพื่อไปแลกเป็นเงินสดแต่ในมูลค่าที่น้อยกว่านั้นเท่ากับขาดทุน ดังนั้นเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากไปแลก
ส่วนประเด็นที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าทั้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแค่เพียง 0.9% นั้น มองว่าเป็นการพิจารณาจากสมมติฐานที่แตกต่างกัน แต่รัฐบาลมองว่าประโยชน์ของโครงการนี้ ไม่เพียงแค่ประชาชนได้เงินหมื่นบาทไปเป็นกำลังในการต่อชีวิตเท่านั้น แต่ประเทศยังได้ประโยชน์ในเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย
อย่างไรก็ดี ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนในประเทศ แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เพราะขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
*สถาบันการเงิน 14 รายสนใจเชื่อมระบบ payment
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และธุรกิจวอลเล็ตต่างๆ เกี่ยวกับความพร้อมในการเชื่อมโยงระบบ เพื่อรองรับการใช้จ่ายในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่า สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือ DGA ได้มีการส่งหนังสือเชิญชวนให้เข้าร่วมโครงการไปยังภาคการเงินต่างๆ แล้ว ผ่านทางสมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และสมาคมธุรกิจวอลเล็ตต่างๆ ซึ่งมีตอบรับว่าสนใจเข้าร่วมโครงการแล้ว 14 ราย
โดยธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และธุรกิจวอลเล็ตต่างๆ มีเวลาในการพิจารณาจนถึงวันที่ 15 ส.ค.นี้ ว่าจะเข้าร่วมโครงการหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้จะทราบชัดเจนว่ามีธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และธุรกิจวอลเล็ตเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตกับรัฐบาลกี่ราย ส่วนแพลตฟอร์มสำหรับรองรับการใช้จ่ายนั้น ยืนยันว่ามีความพร้อมรองรับการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปีนี้อย่างแน่นอน