xs
xsm
sm
md
lg

องค์กรทั่วโลกกว่า70%ปรับใช้เทคโนโลยีAIมากขึ้น โพลล์พบพนง.บางส่วนกังวลถูกเพื่อนมอง“ขี้เกียจ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


ผลสำรวจใหม่พบองค์กรส่วนใหญ่ทั่วโลกนำ AI มาใช้กับธุรกิจอย่างน้อยหนึ่งส่วนงาน และเอเชีย-แปซิฟิกและเกรทเตอร์ไชน่าเป็นภูมิภาคที่ใช้ AI เพิ่มขึ้นมากที่สุด
ผลสำรวจใหม่พบทั่วโลกยอมรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มากขึ้นอย่างชัดเจน โดยองค์กร 72% นำ AI ไปใช้กับธุรกิจอย่างน้อย 1 ส่วนงาน ขณะที่โพลล์อีกชิ้นระบุว่า พนักงานกว่า 1 ใน 4 กังวลว่า อาจถูกเพื่อนร่วมงานมองว่าขี้เกียจ, 23% กลัวถูกตราหน้าว่าโกงที่ใช้ AI ในที่ทำงาน และ 1 ใน 3 หวั่นใจว่า เทคโนโลยีนี้จะมาแทนที่คน

คริปโตสเลตรายงานผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยบริษัทที่ปรึกษา แมคคินซี่ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่พบว่า องค์กร 72% นำ AI ไปใช้กับธุรกิจอย่างน้อย 1 ส่วนงาน เพิ่มขึ้นจาก 55% ในปี 2023 และผู้ตอบแบบสอบถามราว 50% ระบุว่า องค์กรนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้กับ 2-3 ส่วนงานธุรกิจ เทียบกับ 33%`เมื่อปีที่แล้ว

สัดส่วนขององค์กรที่รายงานว่าใช้ generative AI เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจาก 33% เป็น 65% ระหว่างปี 2023-2024 เปรียบเทียบกับระหว่างปี 2018-2023 ที่จำนวนองค์กรที่ปรับใช้ AI เพิ่มขึ้นเพียง 11% เป็น 58%

แมคคินซี่ย้ำว่า การยอมรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อปีที่แล้ว หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำแห่งนี้พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีแนวโน้มใช้ AI ทั้งในการทำงานและใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ มากขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยบุคลากรระดับอาวุโสที่สุดเป็นกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีนี้มากที่สุด

ผลสำรวจยังพบว่า เอเชีย-แปซิฟิกและเกรทเตอร์ไชน่าเป็นภูมิภาคที่ใช้ AI เพิ่มขึ้นมากที่สุด

จากรายงานของแมคคินซี่ การนำ AI มาใช้พบได้มากที่สุดใน 2 ส่วนงานคือการตลาดและการขาย (34%) ซึ่งเป็นส่วนงานที่รายงานก่อนหน้านี้ระบุว่า มีศักยภาพสูงสุดในการใช้ AI เพื่อเพิ่มมูลค่า

ส่วนงานที่ 2 คือ ฝ่ายผลิตและบริการ (23%) นอกจากนั้นผู้ตอบแบบสอบถาม 17% รายงานว่า ใช้ AI ในส่วนงาน IT

แมคคินซี่เสริมว่า บริษัทต่างๆ มีแนวโน้มใช้งบประมาณด้านดิจิทัล 5% ลงทุนใน generative AI โดยการลงทุนในส่วนนี้มักช่วยลดต้นทุนทรัพยากรบุคคล และสร้างรายได้เพิ่มกว่า 5% ในห่วงโซ่อุปทานและการจัดการสินค้าคงคลัง

ขณะเดียวกัน บริษัท AI แอนโทรปิก และแพลตฟอร์มการจัดการโปรเจ็กต์ อาซานา (Asana) ได้จัดทำรายงานสถานะของ AI ในการทำงานที่เผยแพร่เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว โดยมาจากการสำรวจความคิดเห็น Knowledge worker (พนักงานที่ใช้ทักษะในการวิเคราะห์เป็นหลัก) 5,007 คนในอเมริกาและสหราชอาณาจักรเกี่ยวกับมุมมองต่อการนำ AI มาใช้ในที่ทำงาน

รายงานฉบับนี้พบว่า ขณะที่การใช้ AI กลายเป็นบรรทัดฐานในสถานที่ทำงานอย่างรวดเร็ว แต่พนักงานกว่า 1 ใน 4 กลับกังวลว่า อาจถูกเพื่อนร่วมงานมองว่าขี้เกียจ และ 23% กลัวถูกตราหน้าว่าโกงที่ใช้ AI ในที่ทำงาน นอกจากนั้นพนักงาน 1 ใน 3 ยังห่วงว่า เทคโนโลยีนี้จะมาแทนที่คน

รีเบ็กกา ฮินส์ ผู้นำเวิร์ก อินโนเวชัน แล็บของอาซานา ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซี เมค อิตว่า ความกังวลเหล่านั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทไม่ได้นำเสนอแนวทางเกี่ยวกับการใช้ AI ในที่ทำงานอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจโดยรวมพบว่า มีการนำ generative AI ไปใช้ในที่ทำงานเพิ่มขึ้นทั้งในอเมริกาและสหราชอาณาจักร

ในอเมริกานั้นพนักงาน 57% ใช้เครื่องมือ generative AI เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพิ่มขึ้นจาก 46% เมื่อ 9 เดือนที่แล้ว ส่วนในสหราชอาณาจักร ตัวเลขอยู่ที่ 48% เทียบกับ 29% เมื่อ 9 เดือนก่อน

นอกจากนั้น พนักงานราว 60% ทั่วอเมริกาและสหราชอาณาจักรยังคาดว่า จะใช้ generative AI มากขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า และ 69% รายงานว่า ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม มีพนักงานถึง 82% บอกว่า บริษัทไม่ได้จัดการฝึกอบรมการใช้ generative AI ให้แก่พนักงาน

การขาดการสื่อสารยังอาจทำให้พนักงานกังวลว่า การใช้ AI ในการทำงานเป็นที่ยอมรับหรือไม่

ฮินส์เสริมว่า นอกจากนโยบายองค์กรเกี่ยวกับ AI แล้ว บริษัทยังต้องอธิบายให้ชัดเจนว่า AI จะช่วยเปลี่ยนแปลงบทบาทของพนักงานอย่างไร

รายงานยังพบว่า ผู้บริหารและพนักงานมีมุมมองเกี่ยวกับการใช้ AI ต่างกัน กล่าวคือผู้บริหารเกือบ 1 ใน 4 ระบุว่า บริษัทจัดงบสำหรับลงทุนในเครื่องมือ generative AI ให้แก่พนักงาน แต่มีพนักงานแค่ 9% ที่ตอบแบบเดียวกัน

ผู้บริหารกว่า 2 ใน 3 ยังกระตือรือร้นเกี่ยวกับการใช้ AI ในที่ทำงาน แต่กลับมีพนักงานเพียง 50% ที่รู้สึกแบบนั้นเนื่องจากกังวลว่า จะถูกเทคโนโลยีนี้แทนที่

ฮินส์อธิบายว่า ความกลัวเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตอนเริ่มแรกที่บริษัทนำ AI มาใช้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและบริษัทเริ่มกำหนดบทบาทของ AI เป็นเพื่อนร่วมทีม ไม่ใช่เครื่องมือ ความรู้สึกของพนักงานว่ากำลังถูกเทคโนโลยีคุกคามจะผ่อนคลายลง และสุดท้ายเมื่อบริษัทจัดหาทรัพยากรและการฝึกอบรมเพิ่มขึ้น พนักงานจะสามารถใช้ AI ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางจิตใจมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น