xs
xsm
sm
md
lg

ยอดผลิตรถยนต์ในไทยช่วง เม.ย. 67 หด 11%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ยอดการผลิตรถยนต์ในเดือนเมษายน 2567 อยู่ที่ 104,667 คัน ลดลงร้อยละ 11.02 เป็นยอดขายในประเทศ 46,738 คัน ลดลงร้อยละ 21.49 และส่งออก 70,160 คัน ลดลงร้อยละ 12.23 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 644 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2,476 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 3,900 คัน ลดลงร้อยละ 7.21

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การผลิตรถยนต์ในเดือนเมษายน 2567 มีทั้งสิ้น 104,667 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 11.02 จากการผลิตรถยนต์นั่งและรถกระบะเพื่อขายในประเทศที่ลดลงร้อยละ 5.03 และ 45.94 ตามลำดับ สอดคล้องกับยอดขายที่ลดลง เพราะหนี้ครัวเรือนที่สูงและเศรษฐกิจเติบโตในอัตราต่ำ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมติดลบมาหลายเดือน กำลังซื้อยังเปราะบาง และลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 24.34 โดยจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม-เมษายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 518,790 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 17.05

รถยนต์นั่งเดือนเมษายน 2567 ผลิตได้ 38,190 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 5.39 โดยแบ่งเป็น รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 23,568 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 28.84 รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 644 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 2,476 รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 246 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 56.77 รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 13,732 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 106.43

ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน 2567 มีจำนวน 193,239 คัน เท่ากับร้อยละ 37.25 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ร้อยละ 12.11 โดยแบ่งเป็นรถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 117,491 คัน ลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 31.84, รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 3,291 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 2,712.82, รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 1,794 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ร้อยละ 49.76, รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 70,663 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ร้อยละ 61.31

ในเดือนเมษายน 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 71,928 คัน เท่ากับร้อยละ 68.72 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 5.92 ส่วนเดือนมกราคม-เมษายน 2567 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 345,608 คัน เท่ากับร้อยละ 66.62 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 2.93

เดือนเมษายน 2567 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศได้ 32,739 คัน เท่ากับร้อยละ 31.28 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 34.17 และเดือนมกราคม-เมษายน 2567 ผลิตได้ 173,182 คัน เท่ากับร้อยละ 33.38 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ร้อยละ 35.71

สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนเมษายน 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 46,738 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2567 ร้อยละ 16.69 และลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 21.49

รถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 27,078 คัน เท่ากับร้อยละ 57.94 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 7.83

โดยมียอดขายรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 3,900 คัน เท่ากับร้อยละ 8.34 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 7.21 ส่วนรถยนต์นั่งและรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 10,289 คัน เท่ากับร้อยละ 22.01 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 59.10

จากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงินและเศรษฐกิจของประเทศเติบโตในระดับต่ำจากความล่าช้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ทำให้การใช้จ่ายการลงทุนของรัฐบาลลดลงมากจนทำให้กำลังซื้อของประชาชนอ่อนแอลง ยอดขายรถยนต์จึงลดลงจากปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 21.49 จนตกไปเป็นอันดับ 3 รองจากประเทศมาเลเซียแล้ว

เมื่องบประมาณปี 2567 มีผลแล้ว หวังว่ารัฐบาลจะเร่งรัดการเบิกจ่ายและการลงทุนรวมทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตซึ่งรัฐบาลก็ได้กระตุ้นการซื้ออสังหาริมทรัพย์เมื่อเดือนเมษายนแล้ว จึงขอรัฐบาลช่วยกระตุ้นการซื้อรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์สันดาปภายในและรถกระบะที่ใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศกว่าร้อยละ 90 ซึ่งมีอุตสาหกรรมต่อเนื่องจำนวนมากพอๆ กับอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้อุตสาหกรรมเหล่านี้มีการผลิตเพิ่มขึ้น จ้างงานเพิ่มขึ้น ประชาชนมีงานทำมากขึ้น รัฐบาลเก็บภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มรวมทั้งภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา เศรษฐกิจเติบโตในอัตราที่สูงขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น