xs
xsm
sm
md
lg

BBGI ลั่นปี 68 โตก้าวกระโดด รับรู้รายได้จาก รง.SAF-โรง CDMO ผลิตเชิงพาณิชย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



BBGI ลั่นรายได้ปีนี้เติบโตจากปริมาณการขายเอทานอลและไบโอดีเซลป้อนให้ BCP และ BSRC พุ่งจนไม่พอขาย ต้องจัดหาเพิ่มเติม ล่าสุดศึกษาดีลร่วมทุนโรงงานไบโอดีเซล-เอทานอลเพิ่ม แย้มปีหน้าโตก้าวกระโดด หลังโรงงาน SAF เและโรงงาน CDMO เฟสแรกเดินเครื่อง

นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 จะยังเติบโตต่อเนื่อง จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 13,874.47 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากยอดขายไบโอดีเซลและเอทานอลที่เพิ่มขึ้นจากการที่บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เข้าซื้อบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) หรือ BSRC ทำให้ปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซลและเอเทานอลของ BBGI เติบโตขึ้นมากจนกำลังผลิตรวมของ BBGI อยู่ที่ 1.8 ล้านลิตรต่อวันไม่เพียงพอที่จะป้อนให้ ทำให้บริษัทต้องจัดหาเพิ่มเติมในส่วนนี้อีกราว 30%

ทั้งนี้ BBGI มีกำลังการผลิตไบโอดีเซล 1 ล้านลิตรต่อวัน และเอทานอล 8 แสนลิตรต่อวัน ก็ยังไม่เพียงพอป้อนให้ BCP และ BSRC ดังนั้นบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการขยายการลงทุนด้วย เบื้องต้นจะเป็นรูปแบบของดีลร่วมทุน หรือการเข้าไปถือหุ้นในโรงงานที่เดินเครื่องอยู่แล้ว มากกว่ารูปแบบการลงทุนเพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ เนื่องจากไทยมีกำลังการผลิตไบโอดีเซลและเอทานอลเกินความต้องการของตลาดมาก

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2567 BBGI มีรายได้รวมที่ 4,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 120 ล้านบาท เติบโต 490% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากปริมาณการขายเอาทานอลและไบโอดีเซลให้กับ BCP และ BSRC เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไบโอดีเซลที่เติบโตกว่า 80% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทำสถิติยอดขายสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ขณะที่ธุรกิจเอทานอล ยังมีสถานการณ์วัตถุดิบราคาสูง บริษัทให้ความสำคัญต่อการบริหารต้นทุนควบคู่กับการปรับปรุงการผลิตและบริหารการขายให้มีประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น


นายกิตติพงษ์กล่าวถึงแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2568 ว่า บริษัทมั่นใจผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายไบโอดีเซลและเอทานอลที่เพิ่มแล้ว ในปี 2568 โรงงานผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel - SAF) จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วที่ร่วมทุนกับบางจากอยู่ 20% โดยมีกำลังการผลิตรวม 1 ล้านลิตรต่อวันนั้นจะสามารถเริ่มผลิต SAF เชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 1/2568

นอกจากนี้ โรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง (Contract Development and Manufacturing Organization หรือ CDMO) ในเฟสแรกตั้งอยู่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา มีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์อยู่ 2,000 ตันต่อปี โดย BBGI จะถือหุ้นไม่น้อยกว่า 75% พร้อมจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในช่วงประมาณต้นปี 2568 ทำให้รับรู้รายได้ส่วนนี้เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งบริษัทยังมีแผนขยายโรงงาน CDMO เฟสสอง ด้วยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 4-5 เท่า เพื่อป้อนให้ลูกค้าในประเทศอินเดียด้วย

เมื่อเร็วๆ นี้ BOI ได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนบริษัท บีบีจีไอ เฟิร์มบ็อกซ์ ไบโอ จำกัด เพื่อจัดตั้งโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพที่ใช้เทคโนโลยีการหมักที่แม่นยำ (Precision Fermentation) เพื่อผลิตเซลลูโลซิก เอนไซม์ (Cellulosic Enzyme) สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม โดยขยายขนาดจากระดับห้องปฏิบัติการ (Lab scale) สู่การผลิตเชิงพาณิชย์ (Commercial Scale) ขนาดใหญ่ นับเป็นโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งแรกในอาเซียน

บริษัทดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่าง BBGI ในกลุ่มบางจากฯ ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง กับบริษัท เฟิร์มบ็อกซ์ ไบโอ (Fermbox Bio) ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำด้านชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology: SynBio) และด้านการขยายกำลังการผลิตไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ (Lab-to-launch) โดยบริษัทวางแผนที่จะตั้งฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio Hub) ใน EEC มุ่งเน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ

สำหรับโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพดังกล่าวตั้งอยู่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งจะผลิตเซลลูโลซิก เอนไซม์ ด้วยอุปกรณ์ขั้นสูงตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยมีกำลังการผลิตในระยะแรก 200,000 ลิตร ภายใต้เงินลงทุน 440 ล้านบาท และมีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตรวมให้ถึง 1 ล้านลิตร ในระยะต่อไป และจะใช้วัตถุดิบส่วนใหญ่จากในประเทศ และวางแผนจะตั้งให้ไทยเป็นฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพ (Bio hub) ของบริษัท
กำลังโหลดความคิดเห็น