xs
xsm
sm
md
lg

ไทยออยล์วิเคราะห์ราคาน้ำมันดิบอยู่ระดับสูง เหตุ IMF ปรับเพิ่ม GDP โลก-ตะวันออกกลางตึงเครียดขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ไทยออยล์วิเคราะห์ราคาน้ำมันดิบยังคงเคลื่อนไหวระดับสูง หลัง IMF ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 67 ท่ามกลางความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น

รายงานข่าวจากไทยออยล์ (TOP) แจ้งว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้ (5-9 ก.พ. 67) จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 68-78 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบเบรนต์เคลื่อนไหวที่กรอบ 73-83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับราคาสูง เนื่องจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2567 ในปี 2567 ขึ้นจากระดับ 2.9% มาอยู่ที่ระดับ 3.1%

ขณะที่ตัวเลขจีดีพีของยุโรปดีกว่าคาดการณ์ ส่งผลให้เศรษฐกิจของยุโรปสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้ อย่างไรก็ตาม เยอรมนี ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับที่ 1 ของกลุ่มเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 1/64 หลังตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 4/66 หดตัวที่ระดับ -0.2% ซึ่งเป็นการติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน หลังไตรมาสก่อนหน้าหดตัวที่ระดับ -0.3%

อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงจับตาสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีแนวโน้มตึงเครียดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังฐานทัพของสหรัฐฯ ในจอร์แดน ถูกโจมตีและส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บกว่า 34 ราย การโจมตีดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่มีทหารอเมริกันเสียชีวิตนับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอลเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นเดือน ต.ค. 66 ส่งผลให้ตลาดจับตาอย่างใกล้ชิดว่าสหรัฐฯ จะมีมาตรการตอบโต้ต่ออิหร่านอย่างไรต่อเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ซึ่งหากเกิดการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่ออุปทานน้ำมันดิบภายในภูมิภาค

ด้านอุปทานน้ำมันดิบมีแนวโน้มตึงตัวเพิ่มขึ้น ภายหลังศาลสูงของเวเนซุเอลามีคำพิพากษาตัดสิทธิผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่มาจากฝ่ายค้าน ซึ่งคำสั่งดังกล่าวขัดกับข้อตกลงซึ่งทำไว้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่อาจจะกลับมาคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันดิบของเวเนซุเอลาอีกครั้ง หลังก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นการชั่วคราวตั้งแต่เดือน ต.ค. 2566-เม.ย. 2567 และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 30-31 ธ.ค.ที่ผ่านมา FED ยังคงมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% แต่จะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่ออัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับเป้าหมายที่ระดับ 2% ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงย่อมส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน
กำลังโหลดความคิดเห็น