ประเทศญี่ปุ่น เป็นอีกจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวชาวไทย ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่ตื่นตาตื่นใจ วัฒนธรรมและอาหารที่มีเอกลักษณ์ รวมทั้งสภาพภูมิอากาศที่แตกต่าง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวที่ไม่สูงมาก รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศให้กับคนไทย 15 วัน และใช้เวลาเดินทางด้วยเครื่องบินไม่นานนัก ประมาณ 6 ชั่วโมง
นอกจากจะมีสายการบินเปิดเส้นทางบินตรงไปยังประเทศญี่ปุ่นแล้ว ล่าสุด บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW ลงทุนซื้อกิจการโรงแรมที่ประเทศญี่ปุ่น 3 แห่ง และเช่าระยะยาวอีก 1 แห่ง เป็นระยะเวลา 30 ปี รวมมูลค่า 1,700 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็น โรงแรมฮ็ฮป อินน์ (HOP INN) 4 โครงการ รวมมูลค่าประมาณ 1,700 ล้านบาท มีห้องพักรวมทั้งสิ้น 373 ห้อง
โดย 3 โครงการตั้งอยู่ใน กรุงโตเกียว ได้แก่ ย่านอิดาบาชิ (Iidabashi) ย่านอุเอโนะ (Ueno) และย่านอาซากุสะ (Asakusa) บริเวณนิเทนมอน (Nitenmon) มีแผนที่จะเปิดในเดือนธันวาคม 2566 และเมษายน 2567 ส่วนอีก 1 โครงการตั้งอยู่ใน นครเกียวโต มีแผนที่จะเปิดในเดือนมกราคม 2567 นับเป็นการเปิดโรงแรมฮ็อป อินน์ เป็นประเทศที่สองต่อจากฟิลิปปินส์ที่มีถึง 7 แห่ง
พร้อมกันนี้ ยังได้จัดโปรโมชันสำหรับสมาชิก HOP INN REWARD เมื่อจองห้องพักผ่านช่องทางตรงของโรงแรมฯ และลงทะเบียนผ่าน QR CODE สาขาที่เข้าพัก ตั้งแต่ 16 ตุลาคม 2566 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 ลุ้นตั๋วเครื่องบินไปกลับ กรุงเทพ – โตเกียว และที่พักโรงแรมฮ็อป อินน์ ประเทศญี่ปุ่น 3 คืน 4 วัน 2 รางวัล รางวัลละ 2 ที่นั่ง รวมมูลค่ากว่า 120,000 บาท
สำหรับโรงแรมฮ็อป อินน์ ประเทศญี่ปุ่น เลือกทำเลใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เพียง 5 นาที ใกล้แหล่งชอปปิ้งและร้านอาหาร อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยจุดขาย 5 ประการ ได้แก่ ของใช้ในโรงแรม (Amenity) สำหรับผู้เข้าพัก บริการรับฝากกระเป๋าสัมภาระ ฟรีเวลคัมดริงค์ พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ ห้องพักและเฟอร์นิเจอร์ออกแบบเพื่อนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม สำหรับฮ็อป อินน์ ถือเป็นแบรนด์โรงแรมราคาประหยัด หรือบัดเจ็ตโฮเทล (Budget Hotel) สัญชาติไทย เปิดสาขาแรกที่จังหวัดหนองคายเมื่อปี 2557 มีเครือข่ายโรงแรมมากถึง 50 สาขาในประเทศไทย และ 7 สาขาในประเทศฟิลิปปินส์ อีกทั้งยังมีโปรแกรมสมาชิก HOP INN REWARD ที่มีฐานลูกค้าสมาชิกราว 300,000 ราย
เพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด ในเครือดิเอราวัณ กรุ๊ป เปิดเผยถึงเหตุผลที่เลือกขยายธุรกิจฮ็อป อินน์ ไปยังประเทศญี่ปุ่น เป็นแห่งแรกในเอเชียแปซิฟิก เพราะกรุงโตเกียวและนครเกียวโต เป็นเมืองจุดหมายปลายทางหลักที่สำคัญทางการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น จึงมองเห็นโอกาสในการเข้าไปลงทุนของโรงแรมระดับบัดเจ็ทในประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ธุรกิจโรงแรมในญี่ปุ่นมีเสถียรภาพ และมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี มีอัตราการเติบโตของห้องพักต่ำ และการลงทุนในประเทศญี่ปุ่น ยังมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ รวมถึงการอ่อนค่าของเงินสกุลเยนของญี่ปุ่น (JPY) ต่ำสุดในรอบ 25 ปี ช่วยสนับสนุนความน่าสนใจในการลงทุนในประเทศญี่ปุ่น คาดว่าจะสามารถขยายการลงทุนในกลุ่มโรงแรมระดับบัดเจ็ทได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับแบรนด์ฮ็อป อินน์ ประสบความสำเร็จทั้งในไทยและฟิลิปปินส์มายาวนานเกือบทศวรรษ มองว่าตอนนี้เหมาะสมที่จะเติบโตทางธุรกิจแบบก้าวกระโดด จากผู้นำในกลุ่มโรงแรมระดับบัดเจ็ทของแบรนด์ ฮ็อป อินน์ ได้รับการยอมรับทั้งนักเดินทางเพื่อธุรกิจและนักท่องเที่ยว ด้วยมาตรฐานห้องพักและบริการ มั่นใจว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้
พร้อมกันนี้ ฮ็อป อินน์ ยังเตรียมแผนการลงทุนเพื่อเพิ่มสาขาในประเทศไทยให้ครบ 100 แห่ง ประเทศฟิลิปปินส์ 15 แห่ง และขยายโอกาสทางธุรกิจไปยังภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอีก 35 แห่ง การขยายธุรกิจจะดำเนินการทั้งในรูปแบบของการเข้าซื้อกิจการ การพัฒนาโครงการใหม่ การเช่าเพื่อดำเนินการ และการขายแฟรนไชส์
ส่วนแผนการลงทุนแบรนด์ฮ็อป อินน์ วรมน อิงคตานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป กล่าวในการนำเสนอ OPPORTUNITY DAY ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไตรมาส 2/2023 ตอนหนึ่งระบุว่า โรงแรมฮ็อป อินน์ ประเทศฟิลิปปินส์ 3 แห่งจะเปิดให้บริการในปี 2567 และโรงแรมฮ็อป อินน์ ในประเทศไทย คาดว่าในปี 2567 จะเปิดให้บริการ 9-10 แห่ง
การเปิดสาขาโรงแรมฮ็อป อินน์ ที่ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นจุดหมายแรกของการขยายธุรกิจเพิ่มเติมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยเป้าหมาย 150 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวม 14,000 ห้อง ภายในปี 2573 แล้ว ยังเป็นการสร้างแบรนด์ฮ็อป อินน์ ให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ ในฐานะบัดเจ็ตโฮเทลที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วเอเชียแปซิฟิก
คนไทยที่ติดแบรนด์ฮ็อป อินน์ เมื่อเห็นสาขาโรงแรมที่ไหน นอกจากมั่นใจในมาตรฐานห้องพักและบริการแล้ว ยังภูมิใจที่นักลงทุนไทยขยายธุรกิจไทยไปไกลถึงต่างแดน
(เกาะกระแสธุรกิจ เศรษฐกิจสดใหม่ เรื่องราวการตลาดที่ใกล้ชิดผู้บริโภค พบกับคอลัมน์ Ibusiness review เป็นประจำทางเว็บไซต์ ibusiness.co เฟซบุ๊ก Ibusiness)
