xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องลึกดีล GMM-RS Y2K เปลี่ยนแนวรบ เวทีนี้ไม่มีหน้ากาก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



การตลาด - เจาะแผนดีลยักษ์ เบื้องลึกการรวมยูนิเวิร์ส GMM-RS ไอคอนวงการเพลงไทย กับ 40 ปีที่ผ่านมา สู่การปลดล็อกจากคู่แข่งเป็นคู่ค้า จาก 2 สิงห์ที่ชิงดำปล่อยอาวุธใส่กันแบบหมัดต่อหมัด ส่งศิลปินมาชนกันแบบไม่มีใครยอมใคร มีเจต้องมีทัช มีเต๋าต้องมีมอส บนเวทีเราแข่งกัน แต่หลังเวทีเราคือเพื่อนกัน ภาพจำของวัยรุ่นยุค 90s ที่กอดคอร้องเต้นมาด้วยกัน จากวันนั้นจนวันถึงนี้ พลัง Y2K ยิ่งแข็งแกร่ง มีอำนาจในการตัดสินใจ และมีกำลังในการใช้จ่ายสูง พร้อมเปย์ขั้นสุดถ้าถูกใจ นี่จึงเป็นฐานกลุ่มเป้าหมายหลักที่ 2 ค่ายเพลงไม่อาจมองข้าม พร้อมใจกันประสานเสียงหันมาจับไมค์ร้องเพลงโกยเงินเข้ากระเป๋าไปด้วยกัน 


#โตมากับอาร์เอส แฮชแท็กแรกๆ ของค่ายเพลงฝั่งลาดพร้าว ที่ปล่อยออกมาช่วง 3-4 ปีก่อน ถือเป็นการซาวนด์เช็กไปในตัว ถึงกระแสความนิยม กับนักร้องและศิลปินยุค 90s และฐานแฟนคลับในวันที่วงการเพลงไทยเฟื่องฟูถึงขีดสุด ว่าจะยังเหนียวแน่นและทรงพลังมากเพียงใด งานนี้บอกเลยทุกคอนเสิร์ตที่จัด Sold out แบบไม่เกรงใจใคร และถ้าเราโตมากับอาร์เอส ก็หลีกหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงนักร้องค่ายตรงข้าม แน่นอนว่าฝั่งอโศกเองก็ได้อานิสงส์ในครั้งนี้ไปด้วย สังเกตได้จากทุกคอนเสิร์ตที่เกี่ยวกับศิลปินในยุค 90s นี้ ก็ขายหมดในพริบตาเช่นกัน งานนี้วิน-วินทั้งคู่

ที่สำคัญ งานนี้มันวิน-วินกันทุกฝ่าย โดยเฉพาะแฟนคลับของทั้ง 2 ค่ายนี้ บอกเลยนอนตายตาหลับแล้ว กับฝันที่เป็นจริง ที่จะได้เห็นนักร้องศิลปินในดวงใจจากทั้งสองค่ายมาจับไมค์ร้องเพลงอยู่บนเวทีเดียวกัน จากที่ผ่านมาฉากหน้าบนเวทีนักร้องสองค่ายจะแข่งขันกัน แต่ด้านล่างเวทีแฟนคลับของพวกเขาเหล่านี้คือคนคนเดียวกัน แฟนคลับไม่เคยแบ่งแยก ไม่มีคำว่าอยู่ข้างใคร ไม่มีคำว่าคู่แข่ง มีแค่อยากดู และอยากเห็นนักร้องคนโปรดจาก 2 ค่ายมาทำการแสดงร่วมกัน และนี่คือกุญแจดอกสำคัญ ที่ทรงอำนาจมากพอให้ 2 สิงห์หันมาไขประตู ปลดล็อกข้ามขีดจำกัดของตัวเอง สู่การรวมยูนิเวิร์สในครั้งนี้


พลัง Y2K กุญแจรวมจักรวาล ‘แกรมมี่-อาร์เอส’
ถามว่าฐานแฟนคลับกลุ่มนี้ทรงพลังมากขนาดนั้นเชียวหรือ ลองมาวิเคราะห์เจาะลึกไปด้วยกัน คนที่โตมากับอาร์เอส คนที่ฟังเพลงยุค 90s และ ปี ค.ศ. 2000 ถือเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในยุค Y2K กล่าวคือ เป็นคนเจน X และเจน Y ซึ่งกลุ่มคนเจน X นั้น คือคนที่เกิดช่วง พ.ศ. 2508-2523 (ค.ศ. 1965-1980) หรือก็คือกลุ่มคนอายุ 40-54 ปี ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 15,206,000 คน คิดเป็น 29% จากจำนวนประชากรทั้งประเทศ ซึ่งคนเจน X จัดเป็นกลุ่มอยู่ในวัยทำงาน ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต งาน เงิน และครอบครัว รวมถึงตนเอง พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ และมีอำนาจในการตัดสินใจ กระเป๋าหนัก และพร้อมเปย์

ส่วนกลุ่มคนเจน Y นั้น คือคนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2523-2537 (ค.ศ. 1980-1994) หรือมีอายุประมาณ 25-39 ปี ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 14,005,000 คน คิดเป็น 27% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ถือเป็นกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ กำลังเข้าสู่วัยทำงาน สร้างเนื้อสร้างตัว ตัดสินใจได้เอง เริ่มมีกำลังทรัพย์ และพร้อมจับจ่ายซื้อของ (ที่มา : MI Group มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด)

แน่นอนว่าเมื่อก่อนกลุ่มคนเหล่านี้ก็เข้าถึงคอนเสิร์ตศิลปินอันเป็นที่รักได้ยาก ติดขัดทั้งในเรื่องสถานที่การจัดงานคอนเสิร์ตที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพฯ เด็กต่างจังหวัดในยุคนั้นอดไป รวมถึงการซื้อบัตรเข้าไปชมก็ทำได้ยาก เพราะยังแบมือขอเงินพ่อแม่กันอยู่เลย ดังนั้นถึงตอนนี้พี่พร้อมเปย์ สนอง needs ในอดีตที่ไม่เคยได้ไปดู นั่นแหละใช่เลย

เมื่อรวมทั้งสองเจนเข้าด้วยกัน จึงกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของการแท็กทีมรวมจักรวาลระหว่างแกรมมี่กับอาร์เอสเข้าด้วยกัน สู่การลงขันร่วมกันจัดคอนเสิร์ตเอาใจสาวกกลุ่มนี้ ก็ใครกันจะกล้ามองข้ามเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากประชากรกลุ่มหลักของประเทศไปได้ แถมยังมีอำนาจในการใช้จ่ายสูงสุดอีกด้วย หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 56% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ เงินหนา ฐานใหญ่ มีใจให้เหนียวแน่น นี่มันบ่อทองพร้อมให้ขุดชัดๆ รวมกันขุดมีแต่ได้กับได้


งานนี้ เฮียฮ้อ หรือ นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ออกโรงออกมาเผยความนัยเองว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาร์เอส ถือเป็นไอคอนทางดนตรีที่บุกเบิกวัฒนธรรมเพลงวัยรุ่นของไทยมาอย่างยาวนาน ครั้งนี้จึงนับเป็นโอกาสที่ดีมากที่อาร์เอสได้เริ่มต้นทำความร่วมมือกับพันธมิตรรายสำคัญอย่าง ‘แกรมมี่’ ซึ่งเป็นผู้นำและเป็นเพื่อนร่วมวงการที่ช่วยกันผลักดันและสร้างสรรค์วงการเพลงไทยมาอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบ JV (Joint Venture) ในจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพื่อผสานศักยภาพที่โดดเด่นของทั้งสองบริษัทเพลงชั้นนำของไทยเข้าด้วยกัน กับแผนการจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะถูกใจฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นที่รอคอยการกลับมาของศิลปินคนโปรดอย่างใจจดใจจ่อ รวมถึงไลฟ์สไตล์และกำลังทรัพย์ของคนในยุค 90s ที่ปัจจุบันที่อยู่ในวัยทำงานและมีสถานะภาพทางการเงินที่มั่นคงแล้ว

ทำไมต้องคอนเสิร์ต Y2K?
หากสังเกตให้ดี ธีมหลักของ JV ในครั้งนี้ คือคอนเสิร์ตยุค 90s ถามว่าทำไมต้อง 90s? ทำไมต้อง Y2K? ศิลปินใหม่ในปัจจุบันจัดไม่ได้หรือ? ไม่เอาน่า อย่าน้อยใจสิ! ถ้าจะบอกว่า ก็กลุ่มคนที่จะมาดูศิลปินนักร้องรุ่นใหม่เหล่านี้ ส่วนใหญ่ยังขอเงินพ่อแม่อยู่เลย ถ้าจะต้องขายบัตรทำคอนเสิร์ต ทุกอย่างล้วนมีความเสี่ยงมากกว่า จะคุ้มหรือไม่ ราคาบัตรต้องราคาเท่าไหร่ อีกทั้งผลงานเพลงของศิลปินเหล่านี้ยังไม่มากพอในการนำมาจัดคอนเสิร์ตใหญ่ หรือการจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวใหญ่ครั้งแรกของตัวศิลปินเองก็ยังไม่มีเพาเวอร์มากพอที่จะจัดขึ้น บางคนดังเพลงเดียว จะจัดคอนเสิร์ตให้คุ้มได้อย่างไร เป็นโจทย์ที่คิดหนักหากจะต้องลงมาเสี่ยง

เทียบกับนักร้องศิลปินยุค 90s แล้ว หลายๆ คนเคยจัดคอนเสิร์ตเดี่ยว หรือรวมตัวกันขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่กันมาเกือบหมดแล้ว และมีเพลงฮิตเรียงกันนับไม่ถ้วน แต่ละคนมีผลงานนับสิบนับร้อยเพลง ไม่ว่าจะเป็น เจ-เจตริน, ทัช ณ ตะกั่วทุ่ง, ปาน ธนพร, คริสติน่า อาร์กีล่า, ใหม่ เจริญปุระ, โบ สุนิตา, ดี2บี เป็นต้น การันตีด้วยยอดขายล้านตลับที่แสดงถึงความสำเร็จขั้นสุดในฐานะนักร้องของยุคนั้น เรียกได้ว่าสะสมบารมีกันจนมากพอ ยิ่งมารวมพลังกันในครั้งนี้ ย่อมถูกอกถูกใจสาวกกันสุดๆ งานนี้คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะตีตั๋วซื้อบัตรครั้งเดียว แต่ได้ดูถึง 2 คอนเสิร์ตต่างค่ายในตำนาน


3 ปี ทุ่ม 300 ล้าน จัด 3 คอนเสิร์ต/ปี
ย้อนกลับมาสู่แผน ใครจีบใครก่อน งานนี้ก็บอกยาก เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีแผนนี้เก็บอยู่ในหัวใจกันมานานแล้ว อาจมีเปรยๆ กันไปมา แต่คนละไทม์ไลน์ ไม่ตรงกันสักที สุดท้ายดีลนี้ก็เริ่มกลับมาคุยกันอย่างจริงจังในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจริงๆ เราควรจะได้เห็นกันนานแล้ว แต่เพราะโควิด -19 เลยทำให้ต้องเลื่อนโปรเจกต์นี้ออกไปถึง 3 ปี จนมาสุกงอมเต็มที่ในเวลานี้จึงเหมาะสมที่สุด ในการจัดตั้งกิจการร่วมค้า อะครอส เดอะ ยูนิเวิร์ส (ACROSS THE UNIVERSE JOINT VENTURE) ระหว่าง แกรมมี่ มิวสิค และอาร์เอส มิวสิค กับการผนึกกำลังกันจัดคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ ผ่านกลยุทธ์การตลาดที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกนึกถึงอดีต (Nostalgia Marketing) ตอบรับเทรนด์ 90s - Y2K นอกจากจะเป็นการสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวงการเพลงไทยมอบความสุขสุดพิเศษให้กับแฟนๆ แล้ว ยังสะท้อนกลยุทธ์สำคัญทางธุรกิจของ RS Music ที่เปิดโอกาสและพร้อมร่วมงานกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศที่มีศักยภาพ

“ด้วยกระแส 90s และ Y2K ที่ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง จากแฟชั่นของเซเลบริตีระดับโลก ประกอบกับศักยภาพของโซเชียลมีเดียที่ทำให้เกิดกระแสการแชร์ต่ออย่างแพร่หลายบนโลกออนไลน์ ส่งให้เทรนด์เติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งในวงการแฟชั่น วงการเพลง และวงการอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงคนไทยเองก็กลับมาสนุกกับเทรนด์นี้เช่นกัน ค่ายเพลงชั้นนำของไทย อย่าง RS Music จึงคว้าโอกาส รวบรวมศิลปินในแต่ละยุคมาจัดคอนเสิร์ตสุดพิเศษ โดยดึงกลยุทธ์การตลาด Nostalgia Marketing ตอบสนองความต้องการของผู้คนที่โหยหาความสุขในอดีต ซึ่งบทเพลงและท่าเต้นที่เคยโด่งดังกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถดึงความสนใจและสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี” เฮียฮ้อกล่าว


ด้านนายวิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการ กิจการร่วมค้า อะครอส เดอะ ยูนิเวิร์ส กล่าวว่า ความร่วมมือในรูปแบบ JV ครั้งนี้จะเป็นเฉพาะในส่วนของธุรกิจโชว์บิซ หรืองานคอนเสิร์ตเท่านั้น โดยทั้งสองบริษัทร่วมลงทุนฝั่งละ 50% เท่าๆ กัน ช่วยกันทำ ร่วมกันตัดสินใจในทุกๆ ด้านให้ออกมาดีที่สุด ส่วนบทบาทหน้าที่หลักๆ นั้น ทางแกรมมี่จะเน้นเรื่องธุรกิจ บัตรคอนเสิร์ต ครีเอทีฟ และโปรดักชัน ขณะที่ทางอาร์เอสจะมองในภาพรวม งบประมาณ การประชาสัมพันธ์ ประสานงานศิลปิน และตัดสินใจร่วมกัน

“รูปแบบ JV ในวันนี้ เป็นแบบเอาเงินมาลงทุนร่วมกัน เป็นโมเดลธุรกิจที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุด มีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ เพราะสะดวกในการบริหารงานมากกว่าทำในรูปแบบนิติบุคคลที่มีความยุ่งยากมากกว่า และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ซึ่งในเชิงธุรกิจคาดหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี และ 3 คอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ มั่นใจว่าบัตรจะ Sold out ในเวลาอันรวดเร็ว หรือในปีแรกจะมีรายได้อย่างน้อย 220 -250 ล้านบาท”


ทั้งนี้ ทางฝั่งแกรมมี่ นำทีมโดยนายภาวิต จิตรกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มิวสิค บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยว่า ปรากฏการณ์คอนเสิร์ตแกรมมี่อาร์เอสที่รอคอยมากกว่า 40 ปีในครั้งนี้ จุดเริ่มต้นนั้นต่างคนต่างมีแผนกันอยู่แล้ว และได้เริ่มเจรจากันมาตั้งแต่ 5 ปีก่อน จนมาถึงวันนี้ นับเป็นเวลาที่เหมาะสมที่พร้อมจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน ในการจัดตั้งกิจการร่วมค้าอะครอสเดอะยูนิเวิร์ส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมจัด SERIES CONCERT กับแผนระยะเวลา 3 ปี เฉลี่ยจะจัด 3 คอนเสิร์ตต่อปี ลงทุนปีละ 100 ล้านบาท หรือตลอด 3 ปีนี้น่าจะใช้งบลงทุนอย่างน้อย 300 ล้านบาท คาดว่าจะมีรายได้ราว 660-750 ล้านบาท และมีกำไรคิดเป็น 50% จากรายได้รวมที่วางไว้

โดยแผนงาน 3 ปีนี้ เบื้องต้นวางไว้ปีละ 3 คอนเสิร์ต แต่พร้อมดูกระแสตอบรับ ถ้าดีก็พร้อมจัดเพิ่ม และจะเน้นไปที่กลุ่มนักร้องศิลปินยุค 90s และปี 2,000 ก่อน ในปีต่อๆไปก็อาจจะมีรายชื่อศิลปินในยุคต่อๆ มาเข้ามาร่วม แน่นอนว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในรูปแบบของคอนเสิร์ต จากการรวมศิลปินในตรีมคอนเสิร์ตที่แตกต่างกัน หรืออย่างคอนเสิร์ตศิลปินคู่ระหว่าง 2 ค่ายก็เป็นไปได้หมด ตามกระแสเรียกร้องที่ต้องการให้เกิดขึ้น

ส่วน 3 คอนเสิร์ตจะเกิดขึ้นในปีนี้ จะจัดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม, กันยายน และตุลาคม ตามลำดับ โดยทุกคอนเสิร์ตจะจัดขึ้นที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี หากกระแสตอบรับดี พร้อมที่จะเพิ่มรอบได้อีก ที่สำคัญราคาบัตรที่จำหน่ายเป็นราคามาตรฐาน ไม่มีการปรับราคาขึ้นตามความพิเศษของคอนเสิร์ตอย่างแน่นอน ส่วนราคาสปอนเซอร์มีปรับขึ้นบ้างจากความพิเศษของคอนเสิร์ต ถือเป็นกำไรที่จะเพิ่มเข้ามา เพราะเน้นขายบัตรให้หมดแบบ Sold out เป็นหลัก


“ความร่วมมือในครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างวางแผนที่จะทำกันอยู่แล้วในช่วงเวลาที่ต่างกัน แต่เมื่อถึงเวลาก็ได้มาคุยกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้ และปล่อยให้เราตัดสินใจ จึงคาดหวังว่าการร่วมทุนครั้งนี้จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ในธุรกิจเพลง เพราะการเป็นคู่แข่งไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน บวกกับวันนี้ทั้งสองบริษัทพร้อมเปิดกว้างในการร่วมมือกับพันธมิตรในทุกด้าน ที่สำคัญโปรเจกต์นี้ถือเป็นการศึกษาและเรียนรู้รูปแบบการทำงานของอีกฝ่าย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความสุขและความสนุกให้เกิดกับแฟนเพลง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ฟัง แฟนคลับ ที่สำคัญเป็นการผลักดันให้อุตสาหกรรมเพลงไทยเดินไปข้างหน้าได้อีกขั้น” นายภาวิตกล่าวสรุป

อย่างไรก็ตาม แผน 3 ปีของการจัดซีรีส์คอนเสิร์ตในครั้งนี้ จัดว่าเป็นเพียงแค่ซิงเกิลแรกที่ปล่อยออกมาเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ส่วนผลงานระดับมาสเตอร์พีซที่จะปล่อยออกมาในวาระถัดไปนั้นขึ้นอยู่กับพลัง Y2K กับอำนาจที่อยู่ในมือคุณ หากกระแสเรียกร้องมีมากพอ ความร่วมมือจาก 2 สิงห์จะยิ่งเล่นใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา แล้วคุณล่ะ อยากเห็นอะไรเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตครั้งนี้บ้าง?








กำลังโหลดความคิดเห็น