xs
xsm
sm
md
lg

“แมคโดนัลด์” พ้นน้ำฟันกำไร 120 ล้าน ทุ่ม 300 ล้านลุย-ดันไก่ทอดเจาะ Gen Z

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการรายวัน 360 - “แมคโดนัลด์” ฝ่าวิกฤตพ้นน้ำ ฟันกำไรครั้งแรกรอบหลายปี 120 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว พร้อมรายได้ทะยานสู่ 5,000 ล้านบาทหลังปรับกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจช่วงที่ผ่านมา ปีนี้ทุ่มอีก 300 ล้านบาทผุดใหม่อีกไม่ต่ำกว่า 15 แห่ง

นางสาวกิตติวรรณ อนุเวชสกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมคไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2566 นี้จะใช้งบลงทุนรวม 300 ล้านบาทในการขยายสาขาใหม่มากกว่า 10-15 แห่ง จากปัจจุบันมี 228 สาขา โดยจะเน้น strategic location ที่มีกลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้บริการได้มากๆ ทั้งในและนอกกรุงเทพฯ โดยพิจารณาปริมาณความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และจะมีการรีโนเวตสาขาเดิมให้มีความทันสมัยสดใสและเสริมบริการต่างๆ เข้าไปเพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ซึ่งปีที่แล้วเปิดสาขาใหม่ 4 แห่ง และรีโนเวตสาขาเดิม 23 แห่ง
ทั้งนี้ การรุกหนักในการลงทุนขยายสาขา เพื่อรองรับภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารที่เริ่มกลับมาเติบโตอย่างดี นับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วที่เริ่มมีการเปิดประเทศ มีการคลายมาตรการต่างๆ และจากปัจจัยของสถานการณ์โควิดที่คลี่คลาย รวมไปถึงการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามายังประเทศ จึงเป็นโอกาสที่ดีของธุรกิจอาหารมีทิศทางที่เติบโตตาม โดยเฉพาะร้านสาขาในโซนท่องเที่ยวและสนามบิน บวกกับได้ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้อง เข้าถึงคนไทย และรับกับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีกำลังซื้อกลับมา ไม่ว่าจะเป็นจากการให้บริการหน้าร้าน หรือดีลิเวอรี

ทั้งนี้ ผลประกอบการภาพรวมปี 2565 ที่ผ่านมานั้น แมคโดนัลด์เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถือว่าเราได้ผ่านช่วงเวลาที่ท้าทาย และสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาสร้างรายได้และกำไรได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว มียอดขายสร้างรายได้ต่อเดือนสูงเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาในช่วงเดียวกันนี้ เป็นการสร้างปรากฏการณ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดด ได้ผลการดำเนินงานเติบโตกว่าปีก่อน 276% หรือมีผลกำไรมูลค่ากว่า 120 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่กลับมามีกำไร โดยปีที่แล้วมีผลประกอบการประมาณ 5,000 กว่าล้านบาท จากเดิมปี 2564 มีรายได้เพียง 3,700 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโต 20%

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัท แมคไทย จำกัด ปี 2559 มีรายได้รวม 6,469.60 ล้านบาท และกำไร 49.29 ล้านบาท, ปี 2560 มีรายได้รวม 6,581.58 ล้านบาท และกำไร 2.68 ล้านบาท, ส่วนปี 2561 มีรายได้รวม 6,300.25 ล้านบาท แต่เริ่มขาดทุน 310.01 ล้านบาท, ปี 2562 มีรายได้รวม 6,132.94 ล้านบาท แต่ยังขาดทุน 304.09 ล้านบาท, ปี 2563 มีรายได้รวม 4,116.48 ล้านบาท แต่ขาดทุน 335.47 ล้านบาท, ปี 2564 มีรายได้รวม 3,809.97 ล้านบาท ขาดทุน 190.58 ล้านบาท

สำหรับสัดส่วนรายได้จากทุกช่องทางมีการเปลี่ยนแปลงไปมา โดยล่าสุดขณะนี้นั่งรับประทานในร้าน ขณะนี้ 42% จากเดิมก่อนโควิด 64% และไดรฟ์ทรู ขณะนี้ 18% จากก่อนโควิด 10% และดีลิเวอรี ขณะนี้ 40% จากก่อนโควิด 26% อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการนั่งรับประทานในร้านยังเป็นรายได้หลักแม้ว่าสัดส่วนน้อยลงแต่ก็มาจากฐานรายได้ที่สูงขึ้น

“ปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ กำลังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงไม่หยุดยั้งและคว้าโอกาสนี้ในการวางแผนการเติบโตทางธุรกิจ โดยมีการวางแผนการลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ไม่ว่าจะดำเนินการขยายสาขาเปิดใหม่ และรีโนเวตร้านสาขาเดิม ภายใต้คอนเซ็ปต์ Alphabet ที่เน้นความยั่งยืน เรียบง่าย อบอุ่น และทันสมัย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย เข้าถึงแบรนด์ได้มากขึ้น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนยุคใหม่ภายใต้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เข้มแข็ง โดยกลยุทธ์หลักคือ ขยายตลาดทั้งเบอร์เกอร์และไก่ทอด การสร้างความคุ้มค่า การพัฒนาบริการ” นางสาวกิตติวรรณ กล่าว

ปีนี้ยังมีแผนที่จะขยายตลาดกลุ่มไก่ทอดมากขึ้นซึ่งได้มีการลอนช์เมนูและแคมเปญใหม่เมื่อ 1 มีนาคมที่ผ่านมา และจะขยายกลุ่มเป้าหมาย Gen Z มากขึ้น ด้วยการใช้กลุ่มเมนูไก่ทอดเป็นตัวรุกตลาด เนื่องจากกลุ่ม Gen Z นี้ชอบรับประทานไก่ทอด ขณะที่เมนูอื่นอย่างกลุ่มเบอร์เกอร์ กลุ่มขนมหวาน เรามีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายครอบคลุมอยู่แล้ว ซึ่งไก่ทอดเราก็ทำตลาดมานานแล้ว แต่คราวนี้จะเน้นหนักมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันไก่ทอดเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้่ให้กับแมคสัดส่วน 17% โดยมีเบอร์เกอร์เป็นกลุ่มหลัก

“ยอมรับว่ากลุ่มไก่ทอดเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงและรุนแรงอย่างมากในตลาดรวมคิวเอสอาร์ท้ังหลายที่มีมูลค่าตลาดรวมมากกว่า 40,000 กว่าล้านบาท แบ่งเป็น ไก่ทอด 25,000 ล้านบาท กลุ่มเบอร์เกอร์ 10,000 ล้านบาท และกลุ่มพิซซา 8,000 กว่าล้านนบาท” นางสาว กิตติวรรณกล่าว

ส่วนนวัตกรรมในการพัฒนาเมนูทั้งเมนูหลักและเมนูใหม่ ยังคงต้องสร้างความรู้สึกคุ้มค่าของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้อาหารของแมคโดนัลด์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ผ่านการตั้งราคาที่เหมาะสมและการจัดโปรโมชัน เช่น ชุด EVM 99 บาท ซึ่งสร้างการเติบโตด้วยมูลค่ากว่า 25 ล้านบาทต่อเดือน หรือเติบโต 150% คิดเป็นสัดส่วนยอดขาย 8.2% ของยอดขายในสินค้าทั้งหมด นอกจากนั้นยังมีโปรโมชันจับคู่ McSaver 55 บาท ที่เรียกว่ายังครองใจตลาดกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นอีกด้วย

ด้านบริการ สร้างประสบการณ์สู่ความทันสมัย (EotF - Experience of the Future) ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า จึงเป็นประเด็นที่ยังคงให้ความสำคัญ และเร่งพัฒนาอย่างเข้มข้น เพิ่มศักยภาพการให้บริการและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้งการบริการเสิร์ฟอาหารที่โต๊ะ (Table Service) และมีน้องพนักงานต้อนรับ (GEL - Guest Experience Leader) เสมือนเป็นผู้ช่วยที่คอยบริการลูกค้าทุกเรื่องในร้าน นวัตกรรมต่างๆ ที่ใช้ในร้านอาหาร เช่น บริการเครื่องสั่งอาหารอัตโนมัติ (SOK) และบริการชำระเงินแบบไร้เงินสด ตลอดจนถึงบรรยากาศการตกแต่งร้านที่ทันสมัยน่านั่งขึ้น เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนยุคใหม่ เช่น ปลั๊กไฟ และ Free Wi-Fi นอกจากน้้น แอปพลิเคชันของแมคโดนัลด์มีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 3 ล้านราย
กำลังโหลดความคิดเห็น