xs
xsm
sm
md
lg

สนพ.เผยปี 65 ไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เพิ่มแค่ 1.5% ตาม ศก.ที่ฟื้นตัว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“สนพ.” เผยปี 2565 ไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 247.7 ล้านตันคาร์บอนเพิ่มขึ้นเพียง 1.5% ตามทิศทาง ศก.ที่ฟื้นตัว โดยพบภาคขนส่งปล่อยสูงสุดคิดเป็น 14.9% ขณะที่ภาคอุตฯ และไฟฟ้าลดลง 6.7% และ 3.2% และเมื่อแยกเฉพาะกิจการพลังงานพบน้ำมันสำเร็จรูปมีสัดส่วนสูงสุด รองลงมาเป็นก๊าซฯ และถ่านหิน

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) จากการใช้พลังงานปี 2565 พบว่าการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 247.7 ล้านตัน CO2 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในภาคขนส่งและภาคเศรษฐกิจอื่นๆ มีการปล่อยก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ภาคการผลิตไฟฟ้าและภาคอุตสาหกรรมมีการปล่อยก๊าซ CO2 ลดลง ซึ่งสอดคล้องกับการใช้พลังงานของประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้เกิดความต้องการสินค้าและการเดินทางที่มากขึ้น อีกทั้งจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการหลังรัฐยกเลิกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ก็เป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดการพลังงานเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 พบว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในไตรมาสที่ 4 ขยายตัว 1.4% และเมื่อรวมทั้งปี 2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.6% โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในปี 2564 โดยด้านการผลิตในสาขาเกษตรกรรมและสาขาก่อสร้างกลับมาขยายตัว ส่วนในสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขายส่ง ขายปลีก และการซ่อมแซมยานยนต์และจักรยานยนต์ รวมถึงสาขาขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าขยายตัวในเกณฑ์ดี ขณะที่สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง

ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลต่อการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงาน ดังนี้ ภาคการขนส่ง มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 79.6 ล้านตัน CO2 เพิ่มขึ้นมากที่สุด อยู่ที่ 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ภาคอุตสาหกรรม มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 66.5 ล้านตัน CO2 ลดลงจากปีก่อน 6.7% ภาคการผลิตไฟฟ้า มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซ CO2 อยู่ที่ 87.9 ล้านตัน CO2 ลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ ได้แก่ ภาคธุรกิจและครัวเรือน จะมาจากการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียว มีการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในภาคเศรษฐกิจอื่นๆ รวม 13.7 ล้านตัน CO2 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.4%


สำหรับการปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายชนิดเชื้อเพลิงในปี 2565 พบว่าการปล่อยก๊าซ CO2 จากน้ำมันสำเร็จรูปมีสัดส่วนการปล่อยสูงที่สุดอยู่ที่ 42% รองลงมาคือ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน/ลิกไนต์ มีสัดส่วน 30% และ 28% ตามลำดับ ทั้งนี้ การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.2% ขณะที่การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ และก๊าซธรรมชาติ ลดลง 9% และ 3.1% ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์ และก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยในปี 2565 ที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน

อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานของประเทศไทยเทียบกับต่างประเทศ จากข้อมูลของ International Energy Agency (IEA) สหรัฐอเมริกา พบว่า ในปี 2563 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่อการใช้พลังงานเฉลี่ยอยู่ที่ 2.03 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE (พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ภูมิภาคเอเชีย สหรัฐอเมริกา และประเทศจีน ซึ่งอยู่ที่ 2.29 2.28 2.11 และ 2.90 พันตัน CO2 ต่อการใช้พลังงาน 1 KTOE ตามลำดับ ซึ่งประเทศไทยมีนโยบายด้านพลังงานที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงทำให้มีการปล่อยก๊าซ CO2 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก ซึ่งจะช่วยทำให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดปลดปล่อยก๊าซ CO2 ตามเป้าหมายของการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้
กำลังโหลดความคิดเห็น