xs
xsm
sm
md
lg

CPALL ทุ่ม 1.2-1.3 หมื่นลบ. ขยายสาขา-ปรับปรุงร้านเดิม-ลงทุนโครงการใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



CPALL ทุ่มงบลงทุนปีนี้ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ใช้ขยายสาขาใหม่ ปรับปรุงสาขาเดิม และลงทุนโครงการใหม่ ตั้งเป้าเปิดสาขา 7-Eleven ทั้งสิ้น 700 สาขา ส่วนแนวโน้มยอดขายสาขาเดิม คาดเติบโตไม่ต่ำกว่าจีดีพีที่โต 3-4% หลังจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่ม แถมได้การกระตุ้นเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยว ของภาครัฐ รวมทั้งการเลือกตั้งช่วงหาเสียง ช่วยหนุนยอดขาย นอกจากนี้เตรียมลุยสาขาในกัมพูชา 30-40 แห่ง ด้าน โบรกฯ แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 72-75 บาท ระบุราคาหุ้นจะกลับมา outperform SET จากผลงานที่เติบโตต่อจากยอดขาย หลังเปิดเมืองเปิดประเทศ

นางสาวจิราพรรณ ทองตัน หัวหน้าสำนักลงทุนสัมพันธ์ Head of Investor Ralation บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL เปิดเผยว่า ในปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้ 12,000-13,000 ล้านบาท โดยจะใช้ในการเปิดสาขาใหม่ประมาณ 3,800-4,000 ล้านบาท ปรับปรุงสาขาเดิม 2,900-3,500 ล้านบาท ใช้ในการลงทุนในโครงการใหม่ๆ 4,000-4,100 ล้านบาท และใช้ในระบบไอที 1,300-1,400 ล้านบาท ขณะที่งบลงทุนสำหรับธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกตั้งงบลงทุนไว้ที่ประมาณ 25,300-27,500 ล้านบาท

ส่วนแนวโน้มรายได้จากร้านเดิมในปีนี้คาดว่าจะเติบโตสอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศ ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-4% โดยมองว่าการกลับมาของนักท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญ โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหากเข้ามาได้มากจะเป็นอัพไซต์ยอดขายจากสาขาเดิมของเซเว่นฯ ได้

"การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งการท่องเที่ยว จะเป็นเชิงบวกที่ได้เห็นกับยอดขายของร้าน ขณะเดียวกันการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยบวกชั่วคราวในช่วงการหาเสียง ซึ่งจะทำให้มียอดขายภายในร้านได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย อีกทั้งมองว่าไตรมาส 2/66 จะเป็นช่วงที่อากาศร้อนมากก็จะเป็นบวกต่อร้านสะดวกซื้อ” นางสาวจิราพรรณ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขา 7-Eleven ทั้งสิ้น 700 สาขา และคาดว่าจะเพิ่มยอดขายจากร้านเดิมเติบโต 5-6% และการขยายสาขาเพิ่มจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของรายได้ร้านเดิม

เตรียมเปิดสาขาในกัมพูชาปีนี้อีก 30-40 แห่ง

สำหรับแผนการขยายสาขาในต่างประเทศ โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ปัจจุบันได้รับสิทธิการบริหารจัดการ 2 ประเทศเพิ่มขึ้น คือ กัมพูชา และลาว ในปี 65 ที่ผ่านมาได้เปิดสาขาใหม่ในกัมพูชา 38 สาขา และคาดว่าปีนี้จะเปิดเพิ่ม 30-40 สาขา โดยร้านที่เปิดในกัมพูชากระจายในหลายจังหวัด และเปิดในพื้นที่ที่หลากหลาย โดยมองว่ามีศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วน สปป.ลาว เนื่องจากเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเปิดสาขา 1-2 สาขา ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเปิดได้ 1 สาขาหรือไม่ในช่วงครึ่งปีแรก

โบรกฯ แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมายที่ 72-75 บาท

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า มีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์ โดยบริษัทยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม Commerce และสามารถปรับตัวได้ดีตามสถาณการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ technology หรือการเพิ่มช่องทางการขายเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า แต่เนื่องจากการเติบโตของบริษัทนั้นอิงกับการเติบโตของการบริโภคในประเทศ ซึ่ง GDP ของไทยที่เติบโตต่ำทำให้ขาดปัจจัยหนุนที่จะช่วยเร่งการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

ยังแนะนำ ”ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 72 บาท โดยมองว่า CPALL จะเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการกลับมาของนักท่องเที่ยว รวมถึงการฟื้นตัวด้านการบริโภคในปี 66 ที่ดีกว่าปี 65

บทวิเคราะห์ จาก บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2023E ที่ 75.00 บาท อิง 2023E PER ที่ 35x (หรือเท่ากับ -0.25SD below 5-yr avg. PER) มีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้

1) ตั้งเป้าขยายสาขาที่ 700 สาขาต่อปีสำหรับในไทย นอกจากนี้ยังเริ่มมุ่งขยายสาขาไปต่างประเทศ ปัจจุบันมีการขยายไปยังกัมพูชากว่า 50 สาขาและกำลังจะขยายไปประเทศลาวภายในปี 2023E นี้

2) มอง GPM จะขยายตัวที่ +20 bps ต่อปี หลักๆจากการผลักดันสินค้ากลุ่ม Ready to eat ที่เป็นจุดแข็งของบริษัทและยอดขายกลุ่ม personal care จะกลับมาโตดีจากกลุ่มนักท่องเที่ยว

3) เห็นการเติบโตของ O2O ต่อเนื่อง แม้สัดส่วนยอดขายของ 7-Delivery จะลดลง จาก COVID-19 คลี่คลาย ปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 10% แต่ยังเห็นตัวเลขยอดขายโตอย่างต่อเนื่อง

4) ค่าใช้จ่าย SG&A ในปี 2022 ที่สูงขึ้นราว +33% YoY ยังไม่เป็นที่น่ากังวลเนื่องจาก SG&A คิดเป็นสัดส่วนต่อยอดขายอยู่ที่ 19.4% ลดลง -150 bps เมื่อเทียบกับ 20.9% ใน 2021 เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2023E ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท เติบโต +46% เรามองว่า 1Q23E จะโตได้ QoQ จากค่าใช้จ่ายจากธุรกิจค้าปลีกที่จะลดลง รวมถึงได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะสาขาในเมืองท่องเที่ยว และนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาล ราคาหุ้น underperform SET -5% ในช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมา จากการรับรู้ผลประกอบการที่แย่กว่าตลาดคาดจากค่าใช้จ่ายที่สูง

มองว่าราคาหุ้นจะกลับมา outperform SET ได้จากผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อจากการยอดขายจากการเปิดเมืองเปิดประเทศ โดยเฉพาะสาขาในเมืองท่องเที่ยว รวมถึงแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ลดลง และมองปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งโดยจะช่วยหนุนทั้งธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่งจากการเติบโตของ HoReCa และธุรกิจค้าปลีกที่จะเห็นค่าใช้จ่ายลดลงและยอดขายที่กลับมาฟื้นตัว
กำลังโหลดความคิดเห็น