xs
xsm
sm
md
lg

ส.ค้าปลีกจี้รัฐออกมาตรการ โด๊ปเศรษฐกิจแบบนันสต็อป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนธันวาคม 2565 พบว่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7.2 จุด จากปัจจัยสนับสนุนชั่วคราวของช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการเน้นชูกลยุทธ์อัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างหนัก รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนจากนี้ (ม.ค.-มี.ค.) อาจลดลง เนื่องจากกำลังซื้อฐานรากยังอ่อนแอ, ต้นทุนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูง, ค่าสาธารณูปโภค และความกังวลต่อความไม่ชัดเจนของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวอาจไม่เป็นไปตามเป้า


นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก (Retail Sentiment Index - RSI) เดือนธันวาคมที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 7.2 จุด เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการจับจ่ายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการโควิดและเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิม (SSSG), ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และความถี่ของผู้ใช้บริการ (Frequency) ปรับเพิ่มขึ้น

โดยเมื่อพิจารณาตามประเภทร้านค้า พบว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการร้านค้าประเภทภัตตาคาร ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เกต ร้านสะดวกซื้อ ปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ร้านค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีความเชื่อมั่นลดลงหลังมีการเร่งซื้อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ทางด้านดัชนี RSI ใน 3 เดือนจากนี้ (ม.ค.-มี.ค.) มีแนวโน้มปรับลดลง แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 จากปัจจัยกดดันทั้งภาวะเงินเฟ้อที่ยังสูง กำลังซื้ออ่อนแอ หนี้ครัวเรือน มาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐที่ทยอยหมดลง แนวโน้มต้นทุนที่ปรับสูงขึ้นทั้งจากค่าวัตถุดิบ ค่าไฟฟ้า เป็นต้น


นอกจากนี้ยังพบว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีลักษณะไม่สมดุล (K-shape Recovery) สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ โดยธุรกิจร้อยละ 30 ยังไม่ฟื้นตัวและคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวได้ในปี 2567 ในขณะที่ร้อยละ 11 ฟื้นตัวแล้วในปี 2565 ส่วนที่เหลือคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวและขยายตัวได้ในปี 2566

ทางสมาคมฯ จึงมีความเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่จะเข้ามาอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจต้องมีความหลากหลาย ตรงเป้าหมาย ไม่ซับซ้อน เน้นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคฐานรากที่ยังอ่อนแอเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย ในขณะที่ผู้บริโภคระดับบน, ผู้มีรายได้ประจำที่มีกำลังซื้อต้องใช้มาตรการต่างชุดกัน โดยเน้นย้ำว่ารัฐต้องคลอดมาตรการที่ต่อเนื่องและระยะยาวจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน

ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “ประเมินการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก” ของผู้ประกอบการที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-24 ธ.ค. 65 ดังนี้

1. ประเมินการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ประเมินว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวมในไตรมาสที่ 4 ปี 65 ปรับดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปีก่อนหน้า โดยธุรกิจมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น และธุรกิจ 57% มีสภาพคล่องเพียงพอมากกว่า 12 เดือน 62% ของผู้ประกอบการระบุว่า ธุรกิจขยายตัว
5% ของผู้ประกอบการระบุว่า ธุรกิจทรงตัว
33% ของผู้ประกอบการระบุว่า ธุรกิจหดตัว

2. ประเมินเป้าหมายยอดขายปี 2566 ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ตั้งเป้ายอดขายปี 2566 เพิ่มขึ้นมากกว่า 5% และคาดว่ารายได้จะกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดในปี 2567 และผู้ประกอบการ 22% (กลุ่ม 20% และ 2%) ตั้งเป้ายอดขายปี 66 ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ 5%
ร้อยละ 41 ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 10%
ร้อยละ 37 ตั้งเป้ายอดขายระหว่าง 5-10%
ร้อยละ 20 ตั้งเป้ายอดขายระหว่าง 1-5%
ร้อยละ 2 ตั้งเป้ายอดขายเท่าเดิม


3. ประเมินรายได้สู่ภาวะปกติของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการร้อยละ 30 คาดว่าธุรกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติต้องใช้เวลาถึงปี 2567 ธุรกิจถึงเข้าสู่ภาวะปกติก่อนเกิดโควิด
11% คาดเข้าสู่ภาวะปกติ ตั้งแต่ปี 2565
11% คาดเข้าสู่ภาวะปกติ Q1 2566
24% คาดเข้าสู่ภาวะปกติ Q2 2566
11% คาดเข้าสู่ภาวะปกติ Q3 2566
13% คาดเข้าสู่ภาวะปกติ Q4 2566
30% คาดเข้าสู่ภาวะปกติ ปี 2567

4. ปัจจัยความกังวลที่มีต่อการฟื้นตัวของธุรกิจในปี 2566
อันดับที่ 1 ต้นทุนสูงขึ้น
อันดับที่ 2 กำลังซื้อเปราะบาง
อันดับที่ 3 เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และนักท่องเที่ยวมาต่ำกว่าที่คาด
อันดับที่ 4 มาตรการรัฐที่ทยอยหมดลง

“สรุปภาพรวมการค้าปลีกไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัวที่ไม่เท่ากันหรือขาดสมดุล (K-Shaped Recovery) อีกทั้งต้องเผชิญกับมรสุมเศรษฐกิจอย่างน้อย 5 ลูก ประกอบด้วย 1) ภาวะเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยเพิ่มสูง 2) ภาวะหนี้ครัวเรือนสูงที่เป็นตัวฉุดการบริโภค 3) ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับขึ้นสูงต่อไป 4) การกลับมาระบาดของโควิด-19 5) การปรับเพิ่มของค่าแรง-แรงงานขาดแคลน ซึ่งมรสุมเศรษฐกิจดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงที่ทำให้ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่กำลังซื้อยังคงอ่อนแรง ผู้ประกอบการจึงควรเตรียมความพร้อมในการรับมือ ถอดรหัสการทำธุรกิจด้วยการลงมือปฏิบัติทันที พร้อมนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควบคู่กับการให้ความสำคัญต่อความยั่งยืนหรือ ESG เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ เพราะอนาคตของค้าปลีกไทยในอีก 3 ปีข้างหน้าเราอาจไม่เห็นภาพค้าปลีกยุคเดิมอีกต่อไปแล้ว” นายฉัตรชัยกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น