xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นกลุ่มมีเดียเติบโตเด่นต่อเนื่อง กิจกรรมนอกบ้านคึกหนุนโฆษณาฟื้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



หุ้นกลุ่มมีเดีย โบรกเกอร์ให้น้ำหนัก “มากกว่าตลาดหรือ Overweight ” เพราะเม็ดเงินโฆษณากลับมาฟื้นตัว แม้ถูกกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ หลังรัฐคลายมาตรการ ส่งผลให้กิจกรรมนอกบ้านมีมากขึ้น เชื่อผลงานครึ่งปีหลังฟื้นเด่นจากครึ่งปีแรกและปีก่อน หลังราคาหุ้นกลุ่มนี้ร่วงรับข่าวลบไปมากแล้ว กูรูแนะเก็บหุ้นทุกตัวเข้าพอร์ต ขณะ PLANB- VGI - CMO และ MAJOR เด่นสุดฟื้นตัวได้เร็วสุด จากยอดโฆษณาในโรงภาพยนตร์และสื่อนอกบ้าน

 บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) หรือ บล.หยวนต้าฯ มองหุ้นกลุ่มMEDIA ด้วย คำแนะนำ "Overweightหรือ มากกว่าตลาด " ประเมินผลงานครึ่งปีหลัง คาดพลิกฟื้นเด่นทั้งจากครึ่งปีแรกและปีก่อน เพราะเม็ดเงินโฆษณากลับมาเติบโต double digit และคาดว่ากำไรปกติในปี 2565 หุ้นกลุ่มสื่อภายใต้ Coverage ของ บล.หยวนต้าฯ เพิ่มขึ้น 318% เทียบก่อน โดยหุ้นที่ฟื้นตัวเด่นสุดในกลุ่ม คาดผลประกอบการพลิกจากขาดทุนเป็นกำไร ได้แก่ CMO หรือ บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) MAJOR หรือ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)และ PLANB หรือ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน)

ทั้งนี้ ปี 2566 แนวโน้มสดใส รับผลบวกเต็มปีจากการเปิดประเทศ แผน M&A และดีลการร่วมมือเป็นพันธมิตรสร้าง Synergy ดังนั้น คงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” ด้วยมองว่าผลประกอบการปี 2565 จะฟื้นเด่นจากฐานที่ต่ำ ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มหลายตัวปรับตัวลดลงมาสวนทางแนวโน้มผลประกอบการที่ดี จึงเป็นจังหวะในการสะสม

โดย บล.หยวนต้าฯ เลือก CMO (TP@7.60) เป็น Top pick กลุ่ม จากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทที่คาดว่าจะ Turnaround ปีนี้ และเติบโตเด่นต่อเนื่องในปี 2566 ซึ่งบริษัทปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ช่วยยกระดับฐานรายได้ต่อปีสูงขึ้นจากเดิมมากกว่า 30% หุ้นที่น่าสนใจรองลงมาคือหุ้นที่คาด Turnaround เช่นกัน คือ PLANB(TP@8.10) และ MAJOR (TP@23.60)

บล.กรุงศรี จำกัด (มหาชน)  มองหุ้นกลุ่ม MEDIA SECTOR เป็น "NEGATIVE หรือเชิงลบ " เพราะคงมองว่าผลการดำเนินงานในปี 65 ของธุรกิจสื่อนอกบ้าน (OOH) และโรงภาพยนตร์จะดีขึ้นจากปี64 ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โรคระบาดในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การเติบโตอย่างแข็งแกร่ง (OOH +20% และโรงภาพยนตร์ +68%) ตามรายงานของ Nielsen ช่วยสนับสนุนมุมมองของ บล.กรุงศรีฯ แต่อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทำให้ทบทวนประมาณการของ PLANB, VGI และ MAJOR ใหม่

ทั้งนี้ เพราะจากข้อมูลของ Nielsen ยอดโฆษณาลดลงมาตั้งแต่เดือนเมษายน โดยยอดโฆษณาเดือนพฤษภาคม 65 อยู่ที่ 8.4 พันล้านาท ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ยอดโฆษณาผ่านสื่อ TV และ OOH ลดลงมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเพียง 1% ส่วนยอดโฆษณาในโรงภาพยนตร์ค่อนข้างทรงตัว แต่ยอดโฆษณา YTD ยังเพิ่มขึ้น จากการเติบโตของยอดโฆษณาผ่านสื่อ OOH เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อน และโรง (เพิ่มขึ้น 68% จากปีก่อน เพราะสื่อ OOH และโรงภาพยนตร์ได้อานิสงส์จากการเปิดเมืองในปี 65 แต่ในทางกลับกัน ยอดโฆษณาผ่านสื่อ TV ลดลง 1% เนื่องจากเสียส่วนแบ่งตลาดไปให้กับสื่อ OOH และสื่อดิจิทัล

ขณะที่ ยอดโฆษณามีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในไตรมาส 3 ปี65 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คาดว่ายอดโฆษณาปี65 น่าจะฟื้นตัวได้และสูงกว่าปีที่แล้ว แต่จังหวะการฟื้นตัวอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับที่ คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ซึ่งผลกระทบด้านลบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และทำให้มีการตัดงบโฆษณาลง บล.กรุงศรีฯ เริ่มเห็นยอดโฆษณาชะลอตัวลงมาตั้งแต่เดือนเมษายน 65 และคาดว่าโมเมนตัมด้านลบจะดำเนินต่อไปใน 3 ปี 65 ดังนั้น บล.กรุงศรีฯ จึงอยู่ระหว่างทบทวนประมาณการกำไรปี 65 ขณะราคาหุ้นที่ตกหนักน่าจะสะท้อนข่าวลบไปมากแล้ว ถึงแม้จะมีมุมมองที่ระมัดระวังกับหุ้นกลุ่มสื่อ แต่เชื่อว่าราคาหุ้น PLANB, VGI และ MAJOR ที่ร่วงลงมาแรงน่าจะสะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ไปมากแล้ว ดังนั้น ยังคงคำแนะนำซื้อ PLANB, VGI และ MAJOR


บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) หรือ บล.เคจีไอ ฯ  แนะนำ "Overweight" หุ้นกลุ่ม Media Sector ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะผลประกอบการของกลุ่มฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีแรก จากผลประกอบการหุ้นกลุ่มสื่อฟื้นตัวขึ้นในครึ่งแรกปี 65 และจากการที่ศึกษาผลประกอบการรวมของหุ้นกลุ่มสื่อที่ศึกษาอยู่ ( BEC World หรือ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) (BEC.BK/BEC TB), MAJOR และ PLANB ) มีแนวโน้มดีขึ้น พลิกเป็นกำไรสุทธิ 780 ล้านบาทในครึ่งแรกปี 65 จากขาดทุนสุทธิ 48 ล้านบาทในครึ่งแรกปี 64 แม้จะถูกกดดันจากภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น เพราะยอดโฆษณาฟื้นตัว และรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการคุมโรคระบาด ทำให้มีการดำเนินกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น อีกทั้งผลจากฐานที่ต่าง ซึ่ง MAJOR ฟื้นตัวได้เร็วสุด ในกลุ่มเพราะเมื่อปีที่แล้วได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทั้งนี้ ยอดโฆษณารวมในครึ่งแรกปีนี้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็น 4.89 หมื่นล้านบาท จากยอดโฆษณาในโรงภาพยนตร์และสื่อนอกบ้าน (OOH) คาดว่ายอดโฆษณาจะเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง เพราะยอดโฆษณารวมดีขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับงวด 7 เดือนแรกปีนี้เติบโตถึง 128% เทียบปีก่อน ขณะที่ยอดโฆษณาของสื่อ TV ยังมีสัดส่วนสูงที่สุด (64% ของยอดโฆษณารวม) โดยทรงตัวจากปีก่อน ซึ่งในงวด 7 เดือนแรกปี 65 บล.เคจีไอ ฯ คาดว่ายอดโฆษณารวมจะดีขึ้น HoH ในครึ่งปีหลัง โดยคาดว่ายอดโฆษณาจะทรงตัวเทียบไตรมาสก่อนใน ไตรมาส 3 และจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้งเทียบไตรมาสและปีก่อน ส่วน ไตรมาส 4 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้กิจกรรมทางธุรกิจ และยอดโฆษณาเพิ่มขึ้น อีกทั้ง เป็นช่วง high season ของยอดโฆษณา Utilization rate ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้ของกลุ่มสื่อ แม้ว่าธุรกิจโฆษณาจะฟื้นตัวขึ้นคาดว่าบริษัทในกลุ่มสื่อ (BEC, PLANB) จะยังไม่สามารถเพิ่มรายได้ด้วยการปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณา เพราะยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวแต่ utilization rate ที่เพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ขับเคลื่อนก่อนรายได้กลุ่มสื่อในระยะต่อไป BEC มี upside อีก ส่วน PLANB คาดว่าภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะทำให้กิจกรรมทางธุรกิจกลับเป็นปกติและ ทำให้ยอดโฆษณาเพราะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 65 เป็นต้นไป ตามด้วย MAJOR จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 65 เป็นต้นไป

อีกทั้งมีโปรแกรมหนังเด็ดจาก Hollywood รอเข้าโรงฉาย ขณะที่รายได้จากค่าโฆษณาคิดเป็น 19% ของประมาณการรายได้รวมในปี 65 และจากแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มสื่อที่ Overweight โดย แนะน้ำซื้อทุกตัว โดยประเมินราคาเป้าหมายของ BEC ที่ 15.30 บาท , MAJOR ที่ 26.75 บาท , PLANB ที่ 7.30 บาท


CMO เบนสู่ Entertainment-Tech หนุนรายได้พุ่ง 

บล. หยวนต้า  แนะนำ "ซื้อ" หุ้น CMO ให้ราคาเป้าหมาย 7.60 บาท/หุ้นด้วยวิธีDCF อิงสมมติฐาน WACC ที่ 7.8%, เพราะ CMO ถือเป็นผู้นำตลาดอีเวนต์ และ ในปีนี้บริษัทปรับกลยุทธ์ขยายธุรกิจ ไปยัง Entertainment และ Tech คาดฐานรายได้ธุรกิจใหม่ราว 30% และปี 65 คาดผลประกอบการ Turnaround พลิกกลับมามีกำไรเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ซึ่งปี 66 กำไรเติบโตต่อเนื่อง 54% จากปีก่อน จากทั้งธุรกิจอีเวนต์ที่กลับมาจัดกิจกรรมได้มากขึ้น และธุรกิจใหม่ มีการจัดทั้งคอนเสิร์ต สัมมนาระหว่างประเทศ และรุกตลาด International Festival เต็มตัวและมองว่าผลประกอบการ จะพลิก turnaround ปีนี้ การปรับโครงสร้างองค์กรและปรับกลยุทธ์ขยายไปยังธุรกิจ ENTERTAINMENT และ Tech ช่วยยกฐานรายได้ และหนุนการเติบโตในระยะยาว รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

PLANB ผ่านจุดต่ำสุด ปี65-66สดใส

บล.คิงส์ฟอร์ด แนะ "ซื้อ"หุ้น PLANB ให้ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 8.40 บาท บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ฟื้นตัวเด่นจากอุตสาหกรรมสื่อโฆษณานอกบ้านที่พื้นตัวหลังผ่อนคลายล็อกดาวน์ ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลัง ม็ดเงินโฆษณาอาจชะลอตัวลงบ้างจากความกังวลเงินเฟ้อ แต่ทั้งนี้คาดว่าสื่อนอกบ้านได้รับผล กระทบที่จำกัด เนื่องจากยังมีคนออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดเมือง และยังได้ประโยชน์จากการรวมป้ายของAQUA ทั้งในแง่ของการเพิ่ม Capacity และช่วยลดค่าใช้จ่าย โดยจะมุ่งเน้นการเพิ่ม U-Rate และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ฝ่ายโฆษณาที่มีอยู่ ทั้งนี้กำไร 3 ปีนี้ มีแนวโน้มทรงตัวจากไตรมาสก่อนแต่โตจากปีก่อนที่จะเข้าช่วงปลายปีที่เห็นสื่อนอกบ้านพื้นตัวเต็มที่

บล.ดาโอ แนะนำ "ซื้อ" หุ้น PLANB ให้ราคาเป้าหมาย 8.80 บาท/หุ้น อิง 2023E PER ที่ 41.8x และมีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์ประเด็นสำคัญ คือ สำหรับปี 65 บริษัทฯปรับเป้ารายได้รวมลงเป็นมากกว่า 5.8 พันล้านบาท (เดิม 6.4-6.7 พันล้านบาทจาก inflation, สงครามรัสเซีย, Asian Game ที่เลื่อนไปปี 66 ) ซึ่ง in line กับ บล.ดาโอ คาดที่ 5.7 พันล้านบาท, อีกทั้ง ผลประกอบการไตรมาส 3 จะทรงตัวเท่าไตรมาสก่อน จาก macro factors คาดผลประกอบการจะเติบโตโดดเด่นจากไตรมาสก่อน จาก utilization rate ที่ฟื้นตัวและเป็น high season กลุ่มสื่อ ขณะที่ synergy กับ AQUA จะมี cost saving ที่ 230 ล้านบาทโดยส่วนใหญ่รับรู้ ในครึ่งหลังปี 65 เพราะสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ผู้บริโภคกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านตามปกติ ปัจจุบัน PLANB เทรดอยู่ที่ 2023E PER 32.8x มองว่าผลประกอบการPLANB ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกลับมาเติบโตโดดเด่นในปี 65-66

บล.กรุงศรี คงคำแนะนำซื้อหุ้น LANB คงราคาเป้าหมายเท่าเดิมที่ 8.50 บาท ผลประกอบการในไตรมาส 3 อาจจะชะลอตัวลงจากไตรมาส 2 เล็กน้อยเนื่องจากผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลงเพราะเงินเฟ้อที่สูง อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลประกอบการจะดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 4 และในปี 66 จากปัจจัยฤดูกาล และเงินเฟ้อผ่านช่วงสูงสุดไปแล้ว ซึ่งบริษัทปรับป้ารายได้ลงเพราะผลกระทบจากเงินเฟ้อที่สูง โดยลงจากเดิมที่ 6.4-6.7 พันล้านบาท เป็น 5.8 พันล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากคาดว่ารายได้จากสื่อ OOH จะลดลงเพราะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่สูง และรายได้ที่ลดลงจากธุรกิจการตลาดกีฬา (sport marketing) ผลจากการเลื่อนจัดการแข่งขันเอเชียนเกมส์


VGI รายได้จากบริการดิจิทัล- ค้าปลีกหนุน 

บล.พาย  แนะนำ "ถือ" หุ้น VGI ให้ราคาเป้าหมาย 4.60 บาท/หุ้น พร้อมปรับเป้ามูลค่าพื้นฐานเป็น 4.60 บาท จากเดิม 6.20 บาท หลังจากทำการปรับลดประมาณการกำไรปี 65-66 ลง 57% และ 24% ตามลำดับ รวมถึงการปรับลดมูลค่าพื้นฐาน KEX (ถืออยู่ 17.4%) และ PLANB (ถืออยู่ 18.6%) ทั้งนี้ กำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 66 (เม.ย.-มิ.ย. 65 ) อยู่ที่ 25 ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษที่มาจากการขายเงินลงทุนเป็นหลัก คาดว่าจะขาดทุนจากธุรกิจปกติที่ 180 ล้านบาทนับเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 5 ไตรมาส เป็นเพราะผลการดำเนินงานของผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนอย่าง KEX ที่ออกมาไม่ดี และรายได้ที่ลดลงในทุกหน่วยธุรกิจ คาดว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนไปอีกไตรมาส ก่อนที่จะพลิกเป็นกำไรได้ในไตรมาส 3 ปี 66 (ต.ค. 66 ) ซึ่งจะเป็นช่วง high season สำหรับเม็ดเงินโฆษณา จำนวนผู้โดยสารในระบบ BTS และส่วนแบ่งขาดทุนจากKEX ที่น้อยลง

บล.เคจีไอ แนะนำ "Neutral"หุ้นVGI ให้ราคาเป้าหมาย 6 บาท/หุ้น เพราะผลประกอบการอ่อนแอในงวด 9เดือน 64/65 เพราะค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นและผลขาดทุนจากบริษัทในเครือ รายได้ของ VGI ในงวด 9เดือน 64/65 (มี.ค. 64 – ธ.ค 64) เพิ่มขึ้นเป็น 2.4 พันล้านบาท หรือ 60% จากปีก่อน เนื่องจาก รายได้จากบริการดิจิทัลเพิ่มขึ้น 43% จากปีก่อน เป็น 802 ล้านบาท โดยสาเหตุสำคัญมาจาก Rabbit Care (นายหนาขายประกัน ) และรับรู้รายได้จากธุรกิจค้าปลีก(บจ.แฟนสลิ้งค์ -Fanslink) 1.04 พันล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 64/65 (ก.ค. 2564 – ก.ย. 64) แต่อย่างไรก็ตาม VGI ยังคงมีผลขาดทุนสุทธิ 75 ล้าน บาทในงวด 9 เดือน 64/65 เนื่องจากมาร์จิ้นลดลงจาก 39.1% ในงวด 9 เดือน63/64 เหลือเพียง 22.9% และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อน อีกทั้งรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนจากบริษทในเครือ104 ล้านบาทในงวด 9 เดือน 64/65 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลขาดทุนของ บมจ. เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย (KEX.BK/TB)* ในงวดเดือนต.ค. 64-ธ.ค. 64


MAJOR ฟื้นตัวเร็วอย่างแข็งแกร่ง 

บล.พาย แนะนำ "ซื้อ" หุ้น MAJORราคาเป้าหมาย 23.70 บาท/หุ้น หลังกำไรสุทธิไตรมาส 2 อยู่ที่ 131ล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษของการปรับมูลค่ายุติธรรมและสินไหมทดแทนเหตุอัคคีภัย กำไรปกติจะอยู่ที่ 80 ล้านบาท ขณะไตรมาสแรกขาดทุน 83 ล้านบาท และ 240 ล้านบาทในไตมาส 2 ปี 64 หนุนจากรายได้การจำหน่ายตั๋วและสินค้าหน้าโรงภาพยนตร์ที่แข็งแกร่ง (80% ของรายได้รวม) เป็นผลจากตารางฉายภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จำนวนมากในไตรมาส 2 ปีนี้ คาดกำไรไตรมาส 3 จะลดลง เพราะจำนวนลูกค้าที่ลดลงตามฤดูกาลและการขาดหายไปของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ แต่คาดกำไรไตรมาส 4 จะแตะจุดสูงสุดของปี จากยอดจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์เรื่อง Wakanda Forever และ Avatar 2 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลจากทั่วโลก ขณะที่เรื่อง Black Panther เป็นภาพยนตร์ทำเงินอันดับ 14

บล. ทิสโก้ แนะนำ "ซื้อ" หุ้น MAJOR ให้ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท/หุ้น หลังพบรายได้ไตรมาส 2 ฟื้นตัว และแนวโน้มครึ่งปีหลังคาดดีขึ้นจากหนังฟอร์มใหญ่หลายเรื่องเข้าฉายและคนเริ่มกลับมาดูหนังจากการปรับตัวในสถานการณ์ปัจจุบันเริ่มกลับมาปกติ อีกทั้งแนวโน้มต้นทุนลดลงจากการต่อรองเจรจาขอลดค่าเช่ากับMJLF ขยายธุรกิจป๊อปคอร์นเข้าสู่ร้านค้าปลีก 7-11 เพราะหนังใหญ่ที่เข้าฉายหลายเรื่อง รอบฉายหนังกลับมาปกตินั่งได้ 100% และการเปิดฉายรอบต่อโรงเพิ่มขึ้นเป็น 6-7รอบจากเดิมช่วงโควิด 5 รอบต่อโรง และในไตรมาส 3 บริษัทจะบันทึกรายการพิเศษ 2 รายการคือ กำไรจากการขายหุ้นไทยทิคเก็ต เมเจอร์ 123 ล้านบาทก่อนภาษี และบันทึกตั้งด้อยค่าของ MJLF ที่บริษัทถือหุ้น 33% จากการที่บริษัทคาดว่าจะได้รับส่วนลดจากทาง MJLF คาดจะรู้ผลในไตรมาส 3 นี้ คาดกำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 528 ล้านบาท และรายได้ปีนี้จะเพิ่มขึ้น 134% จากคาดสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายและหนังฟอร์มใหญ่พร้อมเข้าฉาย


กำลังโหลดความคิดเห็น