xs
xsm
sm
md
lg

เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้า The Merge

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ใกล้เข้ามาแล้วกับการอัพเกรดครั้งใหญ่ของ Ethereum Smart Contract Blockchain อันดับหนึ่งที่มี Total Value Locked (TVL) 35,570 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ห่างกับอันดับสองอย่าง Tron ถึง 6.1 เท่า โดยการอัพเกรดครั้งนี้เรียกว่า “The Merge” (ชื่อเก่าคือ ETH 2.0) จะเกิดขึ้นประมาณภายในวันที่ 15 กันยายน 2022 ตามเวลาบ้านเรา บทความนี้จะเล่าสรุปความเป็นมาและมีวิธีการเตรียมพร้อมก่อนเกิด The Merge ให้ผู้อ่านและนักลงทุนได้เข้าใจและรับมือกับการพลิกโฉมอนาคตครั้งใหญ่ของ Ethereum ในครั้งนี้ได้

การเปลี่ยนจาก Proof of Work เป็น Proof of Stake ของ Ethereum

Ethereum Blockchain ปัจจุบันที่ทำงานอยู่นั้นมีระบบฉันทามติ (Consensus Layer: CL) แบบ Proof of Work ที่มีกลไกหลักคือการแก้สมการที่ไม่สามารถหาคำตอบย้อนกลับได้ (Asymmetric Cryptography) ดังนั้นทางออกของการแก้สมการนี้คือการใช้กำลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์ในการสุ่มหาคำตอบที่ถูกต้อง โดยผู้ที่มีส่วนร่วมในเครือข่ายนี้มักถูกเรียกว่า “นักขุด (Miner)” ที่ได้ทั้ง Block Rewards และค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม

แม้ว่า Proof of Work จะเป็นระดับที่ยุติธรรมและโจมตีได้ยากหากมีการแข่งขันกันขุดเป็นจำนวนมาก แต่ผลย้อนกลับของวิธีนี้คือการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงมากโดย Carl Beekhuizen ได้เปรียบเทียบไว้ว่าการใช้พลังงานของ Proof of Work Bitcoin และ Ethereum สูงถึง 1,135,000 Wh และ 84,000 Wh ต่อธุรกรรม ตามลำดับ ซึ่งหากเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงจะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักพัฒนาของ Ethereum พยายามหาวิธีการฉันทามติรูปแบบอื่นที่ยังคงความแข็งแกร่งแต่ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น

ซึ่งได้เลือกวิธี “Proof of Stake” ที่เป็นการอาศัยการวางเงินเดิมพันเข้าไปในระบบแทนการใช้พลังงานประมวลผล หากผู้ตรวจสอบมีการประสงค์ร้ายด้วยการบันทึกธุรกรรมที่ไม่ถูกต้องก็จะโดน Slashing หรือการหัก ETH บางส่วนเป็นค่าปรับ และทำให้ความน่าเชื่อถือของ Blockchain ลดลงซึ่งส่งผลให้ราคา ETH ลดลงและส่งผลให้เงินของผู้ตรวจสอบที่เดิมพันไว้มูลค่าตกลงเช่นกัน วิธีการนี้แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการพิสูจน์ยาวนานเท่า Proof of Work แต่หลักการ Game Theory นี้ดูสมเหตุสมผลและทำให้ Ethereum ไม่ต้องมีการแจก Block Reward เพื่อสนับสนุนให้คนมาขุดเช่นเดิมอีกด้วย

ดังนั้นข้อดีของ Ethereum ที่เปลี่ยนจากการใช้ Proof of Work เป็น Proof of Stake จะมีด้วยกัน 2 ประการหลักคือ “การใช้พลังงานไฟฟ้าที่ลดลง” และ “การผลิต ETH ใหม่ที่ลดลง”

จากข้อมูลของ Carl Beekhuizen ที่เขียนบทความใน Ethereum Blog พบว่าหาก Ethereum เปลี่ยนมาใช้ Proof of Stake จะลดการใช้พลังงานจาก 84,000 Wh เหลือเพียง 35 Wh ต่อธุรกรรม หรือลดไป 99.96% และนอกจากนี้จากจำนวน Miner หลักหมื่น จะเปลี่ยนผู้ดูแล Blockchain เป็น Validator Node โดยข้อมูลจาก beaconcha.in พบว่ามี Active Validator Node ของ Ethereum ถึง 425,054 Node จึงมั่นใจว่าไม่ได้ลดทอนความกระจายศูนย์ในมุมนี้แต่อย่างใด และยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันที่สนใจหรือติดกรอบด้านการลงทุนที่ธุรกิจต้องมี ESG เท่านั้นสามารถลงทุนได้อีกด้วย

การผลิต ETH ใหม่ที่ลดลง

และข้อมูลจาก Ultrasound Money ที่ทำแบบจำลองหลังจากเกิด The Merge จะทำให้จากเดิมที่ Ethereum แบบ Proof of Work จะมีการผลิต 13,500 ETH ต่อวัน หรือมีอัตราเฟ้ออยู่ที่ 4.3% ต่อปี แต่ถ้าเป็น Proof of Stake ที่เหลือเพียงการแจกจาก Staking Reward เมื่อรวมกับ EIP-1559 ที่ทำเผา ETH ทุกครั้งที่ทำธุกรรมเรียกว่า Base Fee จะทำให้โดยเฉลี่ยแล้ว ETH มีการผลิตเพิ่มเหลือเพียงประมาณ 0.3% หรืออาจติดลบจน ETH เป็น Deflationary Token เลยก็เป็นได้หากมีการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น

The Merge คืออะไร

แม้ว่า Ethereum ต้องการจะเปลี่ยน Consensus Layer (CL) เป็น Proof of Stake เท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำได้ทันที เพราะเป็นเรื่องที่ใหม่และไม่สามารถมั่นใจในผลกระทบที่ตามมาได้ ดังนั้นนักพัฒนา Ethereum จึงสร้าง Beacon Chain ซึ่งเป็น Ethereum ที่ใช้ Proof of Stake เป็น CL ทำงานคู่กันไปกับ Ethereum Mainnet ที่ยังใช้ Proof of Work เป็น CL อยู่ ระหว่างนั้นก็มีการทดสอบใน Testnet ต่าง ๆ จนมั่นใจจึงจะเปลี่ยนให้มาใช้ Proof of Stake

ในขณะที่เขียนนี้ ก็ถึงเวลาที่ทางทีมพัฒนา Ethereum ได้ประกาศว่า Ethereum พร้อมที่จะใช้ Proof of Stake เป็น Consensus Layer แล้ว โดยมีกำหนดที่จะเปลี่ยนเมื่อ Total Terminal Difficulty (TTD) ไปถึง 58750000000000000000000 ซึ่งก็คือประมาณวันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน 2022 เวลา 19:42 น. เวลาไทย

โดยการเปลี่ยน Consensus Layer ของ Ethereum เป็น Proof of Stake (ETH PoS) นั้นจะเป็นการอัพเกรด Ethereum ในระดับที่โครงสร้างที่ลึกมากจน Validator Nodes ที่ไม่ทำการอัพเกรดตามจะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ ในทางทฤษฎีแล้วเราจะเรียกว่ามันคือการ “Hard Fork” ซึ่งเป็นเรื่องปกติของ Ethereum เพราะอัพเกรดทุกครั้งที่ผ่านมานั้นล้วนเป็น Hard Fork ทั้งหมด ดังนั้น ในทางปฏิบัติเราจะยังถือว่าเชนที่ Hard Fork นี้เป็น Mainnet เพราะเสียงส่วนใหญ่และ Community ล้วนเห็นตรงกันที่จะใช้เชนนี้ และ Chain ID รวมถึง RPC ที่ใช้ยังเป็นเลขเดิมทั้งหมด จึงแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงในระดับผู้ใช้งานเลย

การ Hard Fork ในอดีต

ในอดีตที่ผ่านมา Bitcoin เองก็มีการ Hard Fork เช่นกันด้วยการที่เจ้าของเดิมอย่าง Satoshi Nakamoto ได้หายตัวไปแล้วปล่อยให้ Bitcoin อยู่ด้วยตัวของมันเอง ก็จะมีนักพัฒนาหลายคนที่มั่นใจว่าตัวเองสามารถพัฒนา Bitcoin ให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ เช่น Bitcoin Cash ที่เพิ่มความเร็วต่อบล็อกและขนาดบล็อกให้ใหญ่ขึ้น หรือ Bitcoin Diamond ที่เพิ่ม Total Supply ขยายขนาดบล็อกและเปลี่ยน Algorithm โดยสุดท้ายแล้ว Bitcoin Hard Fork ทั้ง 4 เหรียญคือ Bitcoin Cash, Bitcoin SV, Bitcoin Gold และ Bitcoin Diamond ล้วนแต่มีมูลค่าไม่ถึง 1% ของ Bitcoin ด้วยซ้ำ

ส่วน Ethereum เองในปี 2016 ก็มีเรื่อง The DAO Hack ที่มีการขโมย ETH มูลค่ากว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเวลานั้น จนเกิดการถกเถียงเรื่องการ Roll Back Ethereum กลับไปในบล็อกก่อนที่โดนโจมตีว่าควรทำหรือไม่ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยเพราะ Code is Law ไม่ควรไปแก้ไขย้อนหลัง และอีกฝ่ายที่ต้องการ Roll Back สุดท้ายฝ่ายหลังเป็นฝ่ายชนะจึงทำการ Hard Fork แล้วตั้งชื่อเป็น Ethereum ส่วน Ethereum เก่าให้เปลี่ยนเป็น Ethereum Classic (ETC) ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2.19% ของ ETH ในปัจจุบัน โดยเคยขึ้นไปสูงสุดที่ 33% ของ ETH

EthereumPoW (ETHW) Official ของ Chandler Guo

ย้อนกลับมาที่การ Hard Fork ในครั้งนี้ แม้ว่าการอัพเกรดนี้จะได้รับการเห็นชอบจากเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เสียประโยชน์อย่างชัดเจนคือ Miner เพราะลงทุนในการซื้อเครื่องขุด ค่าเช่าที่หรือแม้กระทั่งสัญญาการซื้อไฟฟ้าไว้แล้ว และนักอุดมการณ์ที่ยังเชื่อมั่นว่า Ethereum ที่ใช้ Proof of Work (ETH PoW) ยังปลอดภัยมากกว่า Ethereum ที่ใช้ Proof of Stake (ETH PoS)

จึงมีกลุ่ม EthereumPoW (ETHW) Official ที่นำโดย Chandler Guo ที่ต้องการจะ Hard Fork Ethereum Proof of Stake (ETH PoS) ออกมาอีกทอดหนึ่งแล้วทำการแก้ TTD และ EIP-1559 ที่ขัดขวาง Miner ให้กลับมาขุดได้ดีเช่นเดิม

อย่างไรก็ตามเท่าที่ติดตาม มีผู้ติดตาม Twitter เพียง 40,000 คนรวมทั้งภาษาอังกฤษและจีนแล้วเท่านั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะประวัติของ Chandler ที่เคยทำ Bitcoin Unlimited, เท ICO หลายโปรเจค, Fcoin, Bitcoin God และ ColdLar ซึ่งล้วนแต่เป็นการหลอกลวงทั้งสิ้น หลายคนจึงไม่ค่อยให้ค่ากับ ETH PoW ที่ Chandler จะทำมากเท่าไหร่ และบริษัทต่าง ๆ ก็ส่งสัญญาณรองรับเพียงแค่ ETH PoS เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Circle และ Tether บริษัทที่ดูแล USDC และ USDT Stablecoin และ Chainlink ผู้เป็นคนให้บริการในการส่งข้อมูลจากโลกจริงเข้า Blockchain ก็จะส่งราคาให้ ETH PoS เท่านั้น ดังนั้นแล้วการ Hard Fork เป็น ETH PoW ในครั้งนี้อาจจะไม่มีความวุ่นวายมากเท่าครั้งก่อนก็เป็นได้

อย่างไรก็ตามในตอนนี้ก็ต้องนับว่า ETH PoW เป็นเพียงตัวเดียวที่มีความคืบหน้ามากที่สุด ปัจจุบันเปิด Testnet ให้ Dapps ต่างๆเข้ามาทดลองใช้งานแล้ว แต่ส่วนของ Mainnet นั้นมีปัญหาเรื่องการใช้ Chain ID ที่ซ้ำกับ Smart Bitcoin Cash Testnet ดังนั้นการใช้งานจึงต้องระวังเรื่อง Replay Attack (เล่าละเอียดด้านล่าง) อยู่เสมอเวลาทำธุรกรรม

ทางออกของ Miner

The Merge ได้ส่งผลกระทบทางตรงต่อบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เช่นการ์ดจอ โดยมียอดส่งออกการ์ดแสดงผลภาพกราฟิก (GPU) ลดลง 15% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และราคาในตลาดก็ลดลงอย่างน้อย 15% เช่นกัน F2Pool บริษัททำ Mining Pool ตอบรับข่าว The Merge ด้วยเช่นกัน โดยจะยุติการขุด Ethereum และแนะนำให้ลูกค้าเลือกขุด ETC โดยจะไม่คิดค่า Commission ในหนึ่งเดือนแรก

ซึ่งเมื่อใช้เว็บไซต์ Whattomine ในการช่วยคำนวณความคุ้มค่าแล้ว Miner ยังมีทางเลือกอื่น ๆ ที่ได้กำไรรองลงมาก็คือ Ravencoin (RVN) ที่ได้กำไรวันละ 0.36 ดอลลาร์สหรัฐต่อต้นทุน 0.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ kWh

Centralized Exchange กับการเปิดเทรด ETHW และ ETHS ในรูปแบบ IOU

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ที่ยังไม่ถึงวัน The Merge ซึ่งยังมี Ethereum เพียงแค่เชนเดียวเท่านั้น แต่บาง Centralized Exchange (Cex) มีการประกาศรองรับเหรียญของ Proof of Work ซึ่งก็คือ ETHW และเหรียญของ Proof of Stake ซึ่งก็คือ ETHS แล้ว ดังนั้นในหัวข้อนี้จึงเป็นอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างมากขึ้น

ทีมพัฒนาของ ETH PoW จะ Hard Fork ETH PoS ซึ่งโดยหลักการแล้วจะทำการ Copy ข้อมูลทุกอย่างของเชนเดิมไปด้วย ดังนั้น ถ้าเราหรือ Cex ฝากเหรียญไว้ใน Blockchain ก็จะทำให้เรามีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของข้อมูลเหรียญที่ถูก Copy ไปด้วยเช่นกัน

ในช่วงก่อน The Merge นั้น Cex นั้นทราบดีว่าการอัพเกรดครั้งนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และจะมีการ Hard Fork ด้วย จึงสร้างสัญญา IOU หรือเอกสารยืนยันการมีอยู่ของหนี้ตามสัญญาเงินกู้ โดย Cex นั้นเปิดให้นักลงทุนที่มี ETH สามารถนำ ETH มาแบ่งเป็น ETHW และ ETHS ได้ล่วงหน้าก่อนการ Hard Fork จะเกิดขึ้นจริง ดังนั้นมูลค่าในตอนนี้จะถูกกำหนดตามความเชื่อมั่นว่า The Merge และการ Hard Fork จะเกิดขึ้นจริงเท่านั้น

ปัจจุบันมีหลาย Cex ที่รองรับการแลก ETH เป็น ETHW และ ETHS ล่วงหน้าก่อนแล้ว ราคา ETHW ในปัจจุบันอยู่เฉลี่ยที่ประมาณ 1.6% ของราคา ETH ซึ่งใกล้เคียงกับ ETC ที่มีมูลค่าประมาณ 2.19% ของราคา ETH ส่วนราคา ETHS ก็จะเป็นราคาตรงกันข้ามที่จะทำให้รวมกับ ETHW แล้วได้เท่ากับ 100% ของราคา ETH

โดย 3 กระดานเทรดที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุด คือ Poloniex, MEXC Global และ Bitfinex อย่างไรก็ตาม Cex เหล่านี้ล้วนเป็น Cex ขนาดเล็กแทบทั้งหมด มีเพียง Gate.io เท่านั้นที่มีอยู่ใน 10 อันดับแรก

ดังนั้นในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนและผลกระทบจากการล่มสลายของ Terra ยังไม่แน่ชัดว่าหมดไปแล้วหรือยัง การเลือก Cex ที่ปลอดภัยถือเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรให้ความสนใจมากกว่าการเข้ามาเก็งกำไรในนี้

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ในช่วงแรกที่ ETHW และ ETHS เปิดเทรดใน Poloniex ETHW ราคาเหวี่ยงรุนแรงมาก โดยราคาสูงสุดและต่ำสุดที่ 19% และ 0.9% ของราคา ETH ตามลำดับ และเมื่อราคาเริ่มคงที่ จะมีราคาเหนือกว่า ETC อยู่ประมาณ 1% เสมอ สาเหตุอาจจะเนื่องมาจาก ETH PoW มีการ Hard Fork ข้อมูลต่าง ๆ ทั้ง DeFi, NFT, ธุรกรรมต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้ว่านักพัฒนาส่วนใหญ่จะย้ายไป ETH PoS แต่เมื่อเทียบกับ ETC แล้วก็ยังมีการพัฒนาที่เหนือกว่ามาก แต่ในปัจจุบันที่ราคา ETC มากกว่านั้นอาจจะมีความเป็นไปได้ว่า ETHW อาจจะไม่เกิดขึ้นจริงหรือเหตุผลอื่น ๆ ก็เป็นได้

Binance และ FTX กับการแจก Airdrop

สำหรับ Binance และ FTX ซึ่งเป็น Cex อันดับ 1 และ 2 ของทั้งหมดเลือกใช้รูปแบบการเข้าร่วม The Merge ที่แตกต่างออกไป โดยจะแบ่งเป็น 2 สถานการณ์คือ

ไม่มีเหรียญใหม่เกิดขึ้น: Binance และ FTX จะเปิดการฝากเข้าและถอนออกเหรียญ ETH และ ERC-20 ให้เร็วที่สุดเพราะถือว่าการอัพเกรดผ่านไปได้ด้วยมติเอกฉันท์มีการ Hard Fork จนเกิดเหรียญใหม่: ETH PoS จะใช้ตัวย่อว่า ETH เดิม ส่วน Ethereum ที่ Hard Fork ขึ้นมาใหม่นั้นไม่ว่าจะได้เป็นเหรียญอะไรจะแจกให้ผู้ที่ถือ ETH ใน Exchange ในอัตรา 1:1 เสมอ ซึ่งรายละเอียดการเปิดฝากและถอนจะแจ้งให้ทราบในประกาศถัดไป

ดังนั้นถ้า ETH PoW ของ Chandler นั้นทำออกมาแล้วมีแนวโน้มว่าจะสำเร็จได้จริง สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่ถือเหรียญอยู่ใน Binance และ FTX ก็จะมีสิทธิ์ได้รับ ETHW ในรูปแบบที่คล้ายกับการแจก Airdrop ให้โดยตรงใส่กระเป๋านักลงทุนอย่างแน่นอน วิธีการนี้มีสะดวกสบายกว่าการทำบน Blockchain ด้วยตัวเอง เนื่องจากต้องแข่งกับ Bot ที่ส่งคำสั่งได้รวดเร็วกว่าและสุดท้ายทุกคนก็จะโอนมาขายใน Cex อยู่ดี การเลือกที่จะมารอใน Cex เลยก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจและมีโอกาสสูงที่จะได้ขายก่อน หรือการเสี่ยงไปแตก ETH ใน Cex ขนาดเล็กก็ยังเสี่ยงเกินไปหากสุดท้ายแล้วไม่มี ETH PoW ไหนที่ใช้งานได้จริง

นักลงทุนจะเท ETHW ทันทีที่ได้รับมา เพราะอะไร?

หากใครที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ The Merge มาระดับหนึ่งจะพบว่าไม่มีใครปฏิเสธการอัพเกรด The Merge ในครั้งนี้เลยเพราะประโยชน์ที่ได้รับรวมถึงการทดสอบทุกอย่างล้วนผ่านไปได้ด้วยดีทั้งหมด ดังนั้นแล้วหากเกิดสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่าง ETHW และ ETHS จริง คนส่วนใหญ่จะเลือก ETHS แทบจะทั้งหมด ดังนั้นแล้วเมื่อได้รับมาทั้งสองเหรียญ คนจะเลือกเทขาย ETHW จนราคาร่วงอยู่ประมาณ 1% – 3% เสมอ ถึงขั้นที่ว่าจะมีการรีบแข่งกันเทขายให้ได้เร็วที่สุดเพื่อให้ได้ราคาดีที่สุดเลยด้วยซ้ำ โดยการขายนั้นทุกคนจะเอาไปขายบน Cex เพราะสามารถทำกำไรเป็น ETH หรือ Stablecoin ตัวอื่นๆได้ ซึ่งถ้ายังอยู่ใน ETH PoW เดิมจะไม่สามารถทำกำไรได้ ส่วนการรอ Bridge อื่นๆให้รองรับนั้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานมากกว่านั้น

วิธีการลงทุนในช่วงก่อนเข้า The merge ด้วยตัวเอง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านักลงทุนที่เริ่มมีประสบการณ์ในการท่องโลก DeFi, NFT หรือ GameFi ย่อมเข้าใจวิธีการเก็บรักษา Seed Phrase ด้วยตัวเองและทำให้เราเพิ่มความเชื่อมั่นว่าเงินของเราจะเป็นของเราจริง ไม่มีใครที่จะบังคับให้ถอนหรือโอนไปไหนได้ ดังนั้นการเก็บ ETH ไว้บน Blockchain แล้วบริหารจัดการ ETHW ด้วยตัวเองย่อมเป็นทางเลือกที่สบายใจมากกว่าการรอ Cex ประกาศแจก ดังนั้นบทนี้จะมาเล่าถึงการลงทุนด้วยตัวเองว่ามีความเสี่ยงและมีวิธีการลงทุนอย่างไรบ้าง

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ควรเตือนก่อนเพราะเราใช้งาน ETH PoW เพื่อเก็บเอา ETHW ให้ได้มากที่สุดไปเทขายอาจจะส่งผลเสียให้เราเสียเงินใน ETH PoS ที่เป็นเชนหลักได้ ซึ่งจะยกสถานการณ์ เช่นการรับ Offer WETH จากการวางขาย NFT ของเรา หากเรากดรับข้อเสนอ NFT บน ETH PoW จะถูกขายไปแล้วเราได้ ETHW ไปขายใน Cex

หาก ETH PoW ที่ Hard Fork ออกมานั้นไม่มีการเปลี่ยน Chain ID คนที่ Offer WETH ให้เราสามารถ Copy Script Transaction ที่เรากดยอมรับไป Broadcast ใน ETH PoS ได้ซึ่งจะทำให้เหมือนกับเรายอมรับข้อเสนอ WETH ใน ETH PoS ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม EthereumPoW (ETHW) Official ของ Chandler Guo ประกาศว่าจะเปลี่ยน Chain ID แล้วแต่สิ่งที่ตามมาก็คือการใช้ Chain ID ซ้ำกับของคนอื่นทำให้เรื่องนี้ก็ยังไม่มั่นใจได้ 100% ว่าการใช้งาน ETH PoW ของ Chandler จะปลอดภัย

นอกจากนี้ยังมีเรื่อง Replayability for permits ของบางเหรียญ เช่น DAI, USDC, UNI หรือ LP Token ของ Uniswap v2 ที่มีการ Hardcode Chain ID เป็น 1 ไปเลย ทำให้ไม่ว่าจะ Hard Fork แล้วเปลี่ยน Chain ID ก็จะยังใช้เลข 1 อยู่เหมือนเดิม ดังนั้นการทำธุรกรรมที่ใช้เหรียญเหล่านี้ใน ETH PoW จึงต้องคิดให้รอบคอบทุกครั้ง

หา ETH มารอใน Ethereum Mainnet

ถอน ETH ออกจาก Cex: เนื่องจากการ Hard Fork ไม่รวมถึงเงินใน Cex

ถอน ETH ออกจาก Layer 2:เนื่องจาก Layer 2 เช่น Optimism หรือ Arbitrum นั้นไม่มีการ Hard Fork

ถอน ETH ออกจาก Blockchain ทางเลือก: เหตุผลเดียวกันเพราะการถือ ETH ในต่างเชนนอกจาก Ethereum Mainnet จะไม่โดน Hard Fork ไปด้วย

ถอนสภาพคล่องออกจาก Dex:หากมีการเพิ่มสภาพคล่อง ETH คู่กับเหรียญอื่น ๆ ควรถอนออกก่อน The Merge เพราะหากเกิด Hard Fork ขึ้นมา คนจะ Swap เอา ETH จนโดน Impermanent Loss สูงได้

ถอน WETH เป็น ETH:เนื่องจากในชั่วโมงแรกที่ทุกคนแย่งกันโอนไปที่ Cex จะมีธุรกรรมที่หนาแน่มาก ดังนั้นการ Unwrap ETH ก่อนจะช่วยลดขั้นตอนไปได้หนึ่งขั้น

ถอนการฝากใน Lending Protocol: หากเรามีการปล่อยกู้ใน Lending Protocol เช่น AAVE, Compound, Euler หรือ BendDAO ถ้าต้องการ ETHW ควรถอนการฝากออกมาก่อนเพราะอาจโดนกู้จนไม่สามารถถอนออกได้

กู้ ETH จาก Lending Protocol: เพื่อให้ได้รับ ETHW มากที่สุดเราจึงควรจะกู้ ETH ก่อน The Merge เพื่อให้ตอน Hard Fork ดังนั้นทางเลือกหนึ่งคือการกู้ ETH มาเพิ่มนั่นเอง แต่มีความเสี่ยงเรื่องดอกเบี้ยกู้ที่สูงขึ้นและผันผวนได้ เราจึงควรคำนวณ ETHW ที่คาดว่าจะได้รับมาหักลบกับต้นทุนค่าเสียเวลา ความเสี่ยง ค่าแก๊สและดอกเบี้ยให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน

ขาย NFT ใน ETH PoW: เนื่องจากโปรเจค NFT ส่วนใหญ่จะมีทีมเดียว ซึ่งย้ายไป ETH PoS กันทั้งหมด รูป NFT ใน ETH PoW จึงเหมือนไร้ค่าแล้ว แต่หากมีคนเสนอซื้ออาจจะต้องระวังเรื่อง Replay Attack อย่างที่ได้เล่าไป

การทำกำไรรูปแบบอื่น ๆ

ปล่อยกู้ใน Ethereum Mainnet:เนื่องจากก่อน The Merge จะมีนักลงทุนคิดกู้ ETH ให้มากที่สุด ดังนั้นดอกเบี้ยฝากในช่วงนี้จะสูงมากกว่าปกติ วิธีการนี้ความเสี่ยงต่ำมาก และเมื่อ Hard Fork ก็สามารถถอน ETHW ไปขายได้เช่นกัน

ซื้อ stETH ในราคาถูก: stETH ของ Lido น่าจะโดนเทขายในช่วง The Merge เพราะคนต้องการถือ ETH ธรรมดามากกว่า ดังนั้นเราสามารถซื้อ stETH ในตอนนี้ได้ในราคาส่วนลด

Hedging: คือการ Buy Spot, Short Future ของ ETH คือการถือ ETH บน Cex แต่กลัวราคาผันผวนจึง Short ETH ทำให้เราไม่ได้รับผลกระทบเรื่องราคา ดังนั้น ETHW Airdrop ที่ได้จะเหมือนได้รับฟรีโดยที่ไม่มีความเสี่ยงเรื่องเงินต้นหาย แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังคือ Funding Rate ติดลบจะหักลบรายได้คนถือ Short Future

Straddles Option : ใครที่ไม่มั่นใจว่าราคาจะไปทางไหนแต่มั่นใจมากว่าราคาต้องเลือกทาง สามารถใช้การซื้อ Call และ Put Option ในราคา Strike Price เราจะเสียค่า Premium ของสัญญาในตอนแรก แต่หากราคาเลือกทิศทางชัดเจนไม่ว่าจะขึ้นหรือลง เราจะได้กำไร

ซื้อ ETH:ในระยะยาวแล้ว การมาของ The Merge จะทำให้เกิด 2 เรื่องหลักๆ คือ การรักษ์โลก เนื่องจากไม่ใช้กำลังไฟฟ้าในการประมวลผลมากเท่าแต่ก่อนแล้ว ทำให้กลุ่มนักลงทุนสถาบันที่มีข้อจำกัดเรื่องการลงทุนใน ESG สามารถลงทุนใน ETH ได้สะดวกใจมากยิ่งขึ้น และจำนวนเหรียญ ETH ที่ผลิตขึ้นในแต่ละวันจะทำลดลงอย่างมหาศาลจนทำให้ ETH ถึงขั้นที่เป็น Deflationary Token และเรื่องเม็ดเงินที่ไหลกลับมาจาก ETH Killer ทั้งหลาย ดังนั้นแล้ว การถือ ETH ในระยะยาวค่อนข้างจะมี Upside ที่น่าสนใจมาก

Long ETH Future: ข้อนี้มีเหตุผลเพิ่มจากข้อก่อนเพียงข้อเดียวคือในช่วงนี้มีการทำการ Short ETH Future เยอะจนทำให้ราคา ETH ในตลาด Future ต่ำกว่าปกติ ดังนั้นการซื้อ Long Future จะทำให้ได้ Funding Rate เพิ่มขึ้นและยังใช้ Leverage ได้ แต่ก็ต้องระวังเรื่องการโดน Liquidation หากตลาดวิ่งสวนทางลงมา

Short ETH Future (ระยะสั้น): เนื่องจากข้อดีหลายๆอย่างที่กล่าวมาและการเก็งกำไรเรื่อง The Merge มานานแล้ว ทำให้มีโอกาสที่ราคา ETH ที่พุ่งสูงขึ้นก่อนการทำ The Merge จริงจะมีความเสี่ยงเรื่องการเทขายเมื่อถึงวันที่กำหนด หรือที่เรียกว่า Sell On Fact

Short Alternative Coin Future: สำหรับนักลงทุนที่มั่นใจว่า Ethereum จะเป้นผู้ชนะอย่างแน่นอน การ Short Sell เหรียญอื่นๆก็ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมได้เช่นกัน หรือแม้กระทั่ง Governance Token ของแพลตฟอร์มที่ไม่มีอนาคตก็สามารถทำได้เช่นกัน

บทสรุป

ในระยะสั้นนี้ที่กำลังมีประเด็นเรื่องการ Hard Fork Ethereum Proof of Work กลับมา เราสามารถหาวิธีทำกำไรในรูปแบบที่เหมาะสมกับตัวเองได้หลากหลายวิธีตามตัวอย่างบทความด้านบน ซึ่งแต่ละวิธีล้วนมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป การลงทุนจึงต้องอาศัยความระมัดระวังและศึกษาให้มั่นใจก่อนการลงทุน

ส่วนการมาของ The Merge นั้นจะเปลี่ยนแปลง Ethereum ครั้งยิ่งใหญ่โดย Tokenomics ของ ETH นั้นจะกลายเป็น Deflationary Token รวมทั้งเปิดช่องทางให้นักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนในธีม ESG ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคา ETH เป็นอย่างมาก แล้วในเรื่องของเทคโนโลยีก็ยังเปิดช่องทางให้นักพัฒนาสามารถต่อยอด Ethereum ได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในตอนนี้ The Merge เป็นเพียงก้าวแรกของการพัฒนาอีกยาวไกลของ Ethereum ยังมี The Surge, The Verge, The Purge และ The Splurge ซึ่งเป็น Roadmap อีกยาวไกลมากให้รอติดตาม

อัพเกรดในครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในครั้งที่ใหญ่ที่สุดของ Ethereum ทุกสื่อให้ความสนใจไม่เว้นแม้แต่ Google ที่สามารถพิมพ์ว่า “The Merge” ก็จะมีการนับถอยหลังวัน The Merge ให้ ดังนั้นแล้วทุกกระแสในตอนนี้เริ่มให้ความสนใจใน Ethereum มากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่มีเพียง Bitcoin เท่านั้นที่เป็นตัวนำตลาด ไม่แน่ว่าหลังจากนี้บทบาทของ Bitcoin จะเป็นเงินที่ดี ไม่มีใครแทรกแซงได้ ส่วน Ethereum ก็จะเป็น World Computer ที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้อย่างแท้จริง

บทความโดย พริษฐ์ บุญเลื่อน


































กำลังโหลดความคิดเห็น