หยาง ฮุ่ยหยัน เสียตำแหน่งผู้หญิงที่รวยที่สุดในเอเชีย หลังมูลค่าทรัพย์สินลดฮวบกว่าครึ่งสังเวยปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์จีนที่กำลังถูกเขย่าจากภาวะเงินสดตึงตัว และอาจเป็นระเบิดเวลาลูกใหม่รอวันโจมตีเศรษฐกิจโลก
จากข้อมูลของบลูมเบิร์ก บิลเลียนแนร์ อินเด็กซ์ หยาง ผู้ถือหุ้นใหญ่ในคันทรี การ์เด้น บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่แดนมังกร มีทรัพย์สินสุทธิลดฮวบกว่า 52% จาก 23,700 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว เหลือเพียง 11,300 ล้านดอลลาร์
สถานะของหยางสั่นสะเทือนรุนแรงหลังจากราคาหุ้นในตลาดฮ่องกงของคันทรี การ์เด้นที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกวางตุ้งร่วงลง 15% เมื่อวันพุธ (27) ภายหลังบริษัทประกาศแผนออกหุ้นใหม่เพื่อระดมเงินสด
ความร่ำรวยของหยางแท้ที่จริงมาจากพ่อ หยาง กั๋วเฉียง ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งคันทรี การ์เด้น และโอนหุ้นให้หยางในปี 2005
สองปีต่อมา หยางกลายเป็นผู้หญิงที่รวยที่สุดในเอเชีย หลังจากคันทรี การ์เด้นเสนอขายหุ้นให้สาธารณชนครั้งแรกในตลาดฮ่องกง
แต่ตอนนี้ตำแหน่งดังกล่าวเปลี่ยนมือเรียบร้อยโดยตกเป็นของสาวิตรี จินดัล นักธุรกิจและนักการเมืองหญิงอินเดีย ขณะที่ฟาน หงเว่ย ประธานเฮงหลี เคมิคัล ผู้ผลิตเส้นใยเคมี มีทรัพย์สินสุทธิ 11,200 ล้านดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสฯ (28 ก.ค.) จ่อชิงตำแหน่งผู้หญิงที่รวยที่สุดในจีนจากหยางเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ การกวาดล้างปัญหาหนี้สูงเกินในภาคอสังหาริมทรัพย์ของทางการจีนในปี 2020 ทำให้ผู้เล่นรายใหญ่อย่างเอเวอร์แกรนด์และซูแนค มีปัญหาในการชำระหนี้และต้องเจรจากับเจ้าหนี้ขณะที่สถานะของสองบริษัทเสี่ยงล้มละลาย
มิหนำซ้ำลูกค้าทั่วประเทศที่เดือดดาลเรื่องการก่อสร้างและการส่งมอบบ้านล่าช้ายังเริ่มระงับการผ่อนบ้านที่ขายก่อนสร้างเสร็จ
แม้คันทรี การ์เด้นไม่ได้รับผลกระทบจากความปั่นป่วนวุ่นวายในอุตสาหกรรมมากนัก แต่การประกาศขายหุ้นระดมทุนกว่า 43 ล้านดอลลาร์เพื่อนำเงินบางส่วนไปใช้หนี้ ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนก
หน่วยงานกำกับดูแลภาคการธนาคารของจีนเร่งเร้าให้บรรดาเจ้าหนี้สนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ และยอมรับความจำเป็นในการระดมทุนอย่างเหมาะสมของบริษัทต่างๆ เหล่านี้ ขณะที่ทั้งนักวิเคราะห์และผู้วางนโยบายต่างกลัวว่า ปัญหาอาจลุกลามกลายเป็นวิกฤตการเงิน
ภาคอสังหาริมทรัพย์คิดเป็นองค์ประกอบ 18-30% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีน และเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญของประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกแห่งนี้
นักวิเคราะห์เตือนว่า อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์กำลังอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่จะยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภค หลังจากก่อนหน้านี้ทางการจีนเผยว่า อัตราเติบโตประจำไตรมาส 2 ต่ำที่สุดนับจากโควิดเริ่มระบาด
ในรายงานที่ออกมาเมื่อต้นสัปดาห์ เอสแอนด์พี โกลบัล เรทติ้งส์ประเมินว่า ยอดขายอสังหาริมทรัพย์จีนอาจลดลง 1 ใน 3 ในปีนี้สืบเนื่องจากการที่ลูกค้าไม่ยอมผ่อนชำระบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ
ขณะที่นักวิเคราะห์ของแคปิตอล อิโคโนมิกส์ ขานรับว่า ถ้าขายบ้านไม่ได้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งจะล้มละลาย ส่งผลร้ายต่อทั้งระบบการเงินและเศรษฐกิจ
และด้วยสถานะประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกที่มีความเชื่อมโยงทางการค้าและการเงินลึกซึ้งกับทั่วโลก ถ้าวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ลามเข้าสู่ระบบการเงินจีน ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย
ฟิตช์ เรทติ้งส์เตือนไว้ตั้งแต่วันจันทร์ (25 ก.ค.) ว่า หากบริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนผิดนัดชำระหนี้อาจทำให้เกิดนัยทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างกว้างขว้างและร้ายแรง
ย้อนกลับไปเดือนพฤษภาคม ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ระบุในรายงานเสถียรภาพการเงินว่า แม้ที่ผ่านมาจีนสามารถควบคุมปัญหาได้ แต่หากวิกฤต
อสังหาริมทรัพย์เลวร้ายลงอาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินของประเทศด้วย อีกทั้งยังอาจลุกลามไปยังระบบการค้าโลก และทำให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง