จากครัวหลังบ้านเปิดขายอาหารผ่าน Delivery คนรุ่นใหม่ใจถึงต่อยอดมาจากไก่ย่างรสชาติที่คุ้นเคย สู่ธุรกิจร้านไก่ย่างบังฟารุก ข้าวหมกไก่ (ฮาลาล) ชูซิกเนเจอร์ใหม่! “ข้าวหมกไก่-ไข่ดองน้ำปลา” เมนูขายดี 1 ปีขยาย 3 สาขา!! โตสวนกระแสยุคโควิด
กล้าออกจาก Safe Zone ไหม? เพื่อมาทำตามเสียงของหัวใจที่เรียกร้อง รู้ว่าเสี่ยงแต่อยากจะขอลอง! อยู่ดี ๆ ก็นึกถึงคำพูดเหล่านี้ขึ้นมาในวันที่มีโอกาสได้สนทนากัน กับหนุ่มหน้าใส “รีฟ-ศรัณย์ รัมภักดิ์” เถ้าแก่หนุ่มในวัย 29 ปี! ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการแล้วถึง 3 สาขา ธุรกิจร้าน “ไก่ย่างบังฟารุก” ข้าวหมกไก่(ฮาลาล)น้องใหม่! เพราะเพิ่งเปิดดำเนินกิจการมาเข้าปีที่ 3 ในช่วงของยุคโควิด19 พอดี จากความชอบสู่อาชีพที่ใช่ รีฟบอกว่าหลังเรียนจบที่ ม.มหิดล ศาลายา ด้านการเงินและไฟแนนซ์มาก็ใช้ชีวิตเป็น พนักงานประจำ-มนุษย์เงินเดือนอยู่ราว ๆ สัก 4-5 ปี มีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทใหญ่รับผิดชอบโปรเจ็คต์ที่สำคัญ ๆ มาหลายสายงานอยู่พอควร ถือว่าชีวิตอยู่ในระดับที่เรียกได้ “งานดีเงินดี” ไม่มีปัญหาเรื่องความมั่นคงที่กระทบแต่อย่างใด การตัดสินใจลาออกมา เพื่อเริ่มต้นธุรกิจเองเมื่อ3 ปีที่แล้ว คือใจในตอนนั้นมันอยากจะมาเดินทางนี้แล้ว!
“ตอนสมัยที่เราเรียนมหาวิทยาลัย แถวศาลายามันจะมีร้านส้มตำไก่ย่างร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นเหมือนร้านประจำของเด็กย่านนั้น สมัยที่เราเรียนอยู่ 3-4 ปีมีโอกาสได้แวะเวียนไปกินเกือบทุกสัปดาห์ ที่ร้านก็จะมีคิวเยอะมาก แล้วพอเราเรียนจบมันก็เหมือนมีความหลังสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เราอยากกินไก่ย่างแบบนั้นแต่ว่าหาแถวนี้ไม่ได้ ทีนี้เราก็เลยลองไปหาสูตรจากฝั่งคุณพ่อและก็ลองหาสูตรเองด้วย ก็ไปเจอสูตรไก่ย่างสูตรหนึ่งพอลองให้น้องทำแล้วรสชาติออกมาเหมือนกับตอนที่เรากินข้างมหาวิทยาลัยก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจ “ไก่ย่างบังฟารุก” จุดเริ่มต้นแรกจะเป็นเรื่องของการทำไก่ย่างก่อนครับ”
ชื่อร้าน “ไก่ย่างบังฟารุก” แต่เมนูหลักขาย “ข้าวหมกไก่(ฮาลาล)” ด้วย
มีการเอา “ข้าวหมกไก่” มาเสริมเพิ่มเติมเป็นจุดเด่นของที่ร้าน เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของที่ร้านอีกเมนูหนึ่ง โดยจุดเด่นของที่ร้านคือพยายามทำให้มีความแตกต่างจากข้าวหมกไก่ร้านอื่น เพราะว่ายังเป็นน้องใหม่เพิ่งเปิดมาได้ 2-3 ปี ดังนั้นจุดเด่นคือ รสชาติที่กลาง ๆ ไม่เหม็นเครื่องเทศจนเกินไป และก็จะมีเพิ่มมาอีกคือ “ไข่ดองน้ำปลา” เป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่เอามาผสมผสานกับตัวข้าวหมกไก่ จะเรียกว่า “ข้าวหมกไก่-ไข่ดองน้ำปลา” ในตอนแรกที่ตั้งไว้คือจะทำขาย Delivery ด้วยแต่จากปัญหาเรื่องไข่ดองฯ ที่มักแตกได้ง่ายจึงไม่เหมาะกับการส่งแบบ Delivery ก็เลยเปลี่ยนใหม่เป็นขายเฉพาะที่หน้าร้าน แต่ลูกค้าที่อยากทานจะต้องโทรจองล่วงหน้าก่อน และเมนูนี้ก็มีบริการเฉพาะที่สาขานวมินทร์ 86 เท่านั้น
“เราจะพยายามตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า กลุ่มกว้าง ๆ เป็นหลัก โดยเฉพาะวัยทำงานที่เร่งรีบต้องการอาหารเร็ว ๆ อย่างนี้ครับ ก็เลยมีพวก Delivery หรือว่ามีไรเดอร์มารับที่ร้านด้วย และก็ในตัวของ “ข้าวหมก” เราอยากจะให้รสชาติเป็นกลางก็คือ ไม่อินเดียจ๋าเพราะว่าบางคนก็จะไม่ชอบเครื่องเทศและเขาก็จะแบบไม่ค่อยเปิดใจรับเมนูตัวข้าวหมกอย่างนี้ครับ ที่ร้านก็เลยทำเป็นรสชาติกลาง ๆ แต่ว่าก็ยังมีความหอมของเครื่องเทศ ขมิ้น ผงกะหรี่อันนั้นเราก็จัดเต็มให้อยู่แล้ว”
ซิกเนเจอร์ใหม่! ที่ห้ามพลาดชิม “ข้าวหมกไก่-ไข่ดองน้ำปลา”
“ตัวไข่ดองกับน้ำดองเวลาที่เราเทราดบนข้าว มันก็คือจะหอมแล้วก็นัวไข่ดองที่เราดองไว้ เข้ากันได้ดีเลย โดยเฉพาะพวกเมนูแบบเราทานกับ พวกไก่แบบใน1 คำจะมีทั้งข้าว น้ำจิ้มที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เข้มข้น หวาน และก็เผ็ด แล้วก็มีไก่ มีไข่ ทานใน 1 คำก็คือได้แบบหลาย texture รสชาติหลากหลายมาก”
นอกจากนี้ในส่วนของ “น้ำซุป” ที่ร้านก็จะมีอยู่2 เมนูหลัก ๆ คือ ซุปไก่ กับซุปเนื้อแซ่บ(เป็นชื่อเมนูที่ร้านเรียก) เป็นคล้าย ๆ ซุปของอิสลามที่ชาวพุทธจะเรียกกัน ก็จะมีพวกส่วนผสมของมันฝรั่ง มะเขือเทศ รสชาติจะออกเผ็ด เปรี้ยว ครบเครื่องครบรสจะช่วยตัดรสชาติของข้าวหมกได้เป็นอย่างดี
การตลาดเน้นขายผ่าน Delivery “1 ปีขยาย 3 สาขา”
จากรูปแบบการตลาดในช่วงแรก ๆ ก็คือ รับพรีออร์เดอมาจากญาติ ๆ ก่อน มีการโพสต์ผ่าน “กลุ่ม” ในเฟซบุ้กว่าเรามี “ข้าวหมกไก่” และ “ไก่ย่าง” เป็นสูตรของเราเอง มีใครสนใจอยากสั่งบ้าง แล้วจากนั้นก็มีการโพสต์ขายผ่านไลน์ “กลุ่ม” ของหมู่บ้านด้วยดูแล้วว่ายังไม่มีใครขายข้าวหมกไก่เจ้าประจำ ซึ่งปรากฏว่ากระแสตอบรับดีมีคนเริ่มสั่งเข้ามาเรื่อย ๆ ตอนนั้นยังเป็นการใช้หม้อข้าวเล็ก ๆ ทำในครัวหลังบ้านก่อน ขายได้วันละประมาณ 20-30 กล่อง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในช่วงแรกแล้ว จากตรงนั้นซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแรก และพยายามเพิ่มเมนูหลากหลายมากขึ้น ที่ยังอยู่ในหมวดหมู่ของข้าวหมกไก่
“ภายในระยะเวลา 1 ปี ก็เหมือนเราพอจะมีทำเลที่เหมือนสามารถเช่าได้ในราคาที่ถูกในระดับหนึ่งแล้วเราก็เลยหาทำเลที่มีโอกาสจะสร้างยอดขายได้ พอเปิดสาขาที่ 2 ที่รัชดา (หลังเอสพลานาด) ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนในการเปิดสาขาที่ 3 เทอดไท(ตรงข้าม รร.วัดอ่างแก้ว) ด้วยความที่มันเป็นช่วงของ “โควิด19” ลูกค้าก็จะอยู่ที่บ้านกันเยอะ เพราะฉนั้นเราก็จะมีรายได้ที่ค่อนข้างโอเคในระดับหนึ่งจากการขาย Delivery”
แต่ว่าการตลาดก็คือทำเองทั้งหมด โดยการโพสต์ผ่านกลุ่ม facebook บ้าง หรือว่าศึกษาการตลาดเรื่อย ๆ ในการทำให้อาหารน่าทาน รูปภาพสวย ก็จะพยายามทำการตลาดเองทั้งหมด
มีที่ปรึกษาดี มือใหม่หัดขาย(รายได้) สอบผ่านฉลุย!
เจ้าของร้าน “ไก่ย่างบังฟารุก” ยังเล่าให้ฟังด้วย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พอมาทำธุรกิจเองแล้วรู้สึกว่า มันมืดแปดด้าน! ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อในส่วนของธุรกิจร้านอาหาร เลยทำให้มีโอกาสได้เข้าไปสมัครร่วมโครงการ “ปลูกปั้น” เพื่อที่อยากจะมีเพื่อนคู่คิดหรือว่ามีคนที่จะมาช่วยนำเสนอไอเดียต่าง ๆ ให้กับธุรกิจของตัวเองเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อไป โดยที่เราไม่ได้คิดไปเองว่าเป็นเส้นทางที่ถูกต้องหรือว่าเป็นเส้นทางที่ไม่ควรเดิน เพราะจะเป็นการเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จและเขาก็ช่วยไกด์หรือว่าแนะนำให้กับเราได้ ซึ่งโครงการนี้เป็นความช่วยเหลือของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เข้ามาช่วยบ่มเพาะผู้ประกอบการใหม่ให้แข็งแรงมากขึ้นต่อไป
ปัจจุบันร้านไก่ย่างบังฟารุก ข้าวหมกไก่(ฮาลาล) ซึ่งมีทั้งหมด 3 สาขา มียอดขายเฉลี่ยต่อวันต่อสาขาอยู่ที่ประมาณ 10,000 บาท/สาขา/วัน หรือประมาณ 30,000 บาท(บวกลบ5,000) ต่อวัน โดยเจ้าของบอกว่าตอนนี้ยังคงเป็นช่วงของการควบคุมเรื่องต้นทุนต่าง ๆ ได้ไม่นิ่งดีนักเพราะมีปัจจัยเรื่องวัตถุดิบและสินค้าต่าง ๆ ที่ยังปรับขึ้นราคาอยู่ตลอดในขณะนี้ แต่ว่า “ราคา” อาหารของที่ร้านก็พยายามที่จะไม่ปรับขึ้นจากเดิมมากนัก เพราะเกรงว่าจะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคในยุคนี้เช่นกัน อย่างราคาที่จำหน่ายอยู่ก็จะมี ข้าวหมกไก่ 55 บาท/กล่อง ข้าวหมกไก่ย่าง 65 บาท/กล่อง ซุปเนื้อ99 บาท(เมนูขายดี) และหากลูกค้าต้องการทานเป็นเมนู “ข้าวหมกไก่-ไข่ดองน้ำปลา” ก็จะมีจ่ายเพิ่มอีก 19 บาท
ทิ้งงานเงินเดือนที่กำลังรุ่ง แต่คิดไม่ผิดที่เลือก “ธุรกิจ” นี้!
“ตอนที่เรียนจะเรียนด้านการเงิน ไฟแนนซ์ พอเรียนจบเราค่อนข้างมีโอกาสได้ทำงานหลายสาขา งานแรกก็จะเป็นงานบัญชี งานไอที และก็จะเป็นงานที่ปรึกษาให้กับบริษัทมหาชนแห่งหนึ่งในไทย จริง ๆ งานที่ทำก็ยังดีอยู่ แต่ว่าอาจจะเป็นเรื่องของงานที่มันหนักแล้วก็เหมือนในแต่ละวัน เราก็จะคิดแต่เรื่อง “ข้าวหมก” หรือว่าคิดแต่เรื่องการพัฒนาสูตรที่ร้านอาหารอย่างนี้ครับ ก็เลยตัดสินใจที่จะเลือกเดินเส้นทางเป็นผู้ประกอบการ หรือว่าเป็นเจ้าของร้านอาหาร ช่วง 2-3 ปีที่แล้ว ใจอยากจะมาทำธุรกิจอยากจะมีธุรกิจเป็นของตนเอง ก็เลยตัดสินใจที่จะเลือกเดินเส้นทางนี้ แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นเส้นทางที่เราเลือกผิด คิดว่าเราเลือกถูกแล้ว ใช่เพราะว่าได้ทำอะไรหลายอย่างมากกว่าในส่วนของงานประจำ มันก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ว่าเราก็แฮปปี้กับทั้งในเรื่องของ งานประจำด้วยและก็ในเรื่องของงานที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร”
สำหรับแผนขยายธุรกิจที่ตั้งไว้คือ มีแพลนที่จะเปิดสาขาเพิ่มในกรุงเทพฯ อีกประมาณ 5-10 สาขาต่อไป โดยอาจจะเป็นในรูปแบบของการเป็นเจ้าของร้านเองหรือทำในรูปแบบ “แฟรนไชส์” เพื่อขายในอนาคตด้วย แต่ว่าช่วงนี้ก็ขอคุมต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆให้มันดีขึ้นกว่านี้อีกก่อน แล้วถึงจะเริ่มตัดสินใจขยายสาขาต่อไป
สอบถามเพิ่มเติมโทร. 085-829-3524
คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEsผู้จัดการ”รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด
SMEs manager
