xs
xsm
sm
md
lg

SCGP ปรับเป้ารายได้ปีนี้เป็น 1.5 แสนล้าน แย้มใช้บรรจุภัณฑ์อาเซียนฟื้นตัวดีขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



SCGP ปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้จากการขายในปี 65 เป็น 150,000 ล้านบาทจากเดิมตั้งไว้ 140,000 ล้านบาท เหตุความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในครึ่งปีหลังสูงขึ้นจากการเปิดประเทศ ส่วนผลดำเนินงานครึ่งแรกปี 65 มีรายได้จากการขาย 74,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิ 3,514 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้านบอร์ดฯ ไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.25 บาท  

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้ารายได้จากการขายในปี 2565 เพิ่มขึ้นจากเดิม 140,000 ล้านบาท เป็น 150,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการปรับขึ้นราคาสินค้าพอลิเมอร์ แพกเกจจิ้งบางชนิด รวมทั้งความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ในครึ่งปีหลังของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากนโยบายเปิดประเทศที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าอุปโภคบริโภค และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์จากอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งสินค้าแช่แข็ง อาหารกระป๋อง และอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นับเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อความต้องการบรรจุภัณฑ์

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ที่มีผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลก โดยคาดว่าราคาพลังงานครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง

 


สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 74,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 31 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของทุกสายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และการรวมผลดำเนินงานของ Duy Tan, Intan Group และ Deltalab รวมถึงปริมาณความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้น มี EBITDA เท่ากับ 10,365 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรสำหรับงวดเท่ากับ 3,514 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากต้นทุนวัตถุดิบและพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/2565 เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ โดยมีรายได้จากการขาย 37,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสำหรับงวดอยู่ที่ 1,856 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน EBITDA เท่ากับ 5,478 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2565 ในอัตรา 0.25 บาทต่อหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 1,073 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 กำหนด XD ในวันที่ 8 สิงหาคม 2565 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) วันที่ 9 สิงหาคม 2565


นายวิชาญกล่าวว่า งบลงทุนรวมในปีนี้ยังคงเดิมอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ใช้เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การขยายกำลังการผลิต ตามแผนงาน โดยมีวงเงินเหลือเกือบ 4,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในการสร้างการเติบโตร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Merger and Partnership : M&P) ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจา M&P 2 ดีล แต่ไม่มั่นใจว่าจะปิดดีลได้ทันในปีนี้หรือไม่ จากความผันผวนในช่วงนี้ บริษัทจะเพิ่มความรอบคอบในการลงทุนมากขึ้น

ส่วนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงนั้น บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนบ้าง แต่จะพยายามปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนโดยบาลานซ์การนำเข้าและส่งออกสินค้าให้ใกล้เคียงกัน เช่นเดียวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทไม่มากนัก

ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 บริษัทได้ลงทุนโครงการขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องลูกฟูกเพื่อรองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยอีก 75,000 ตันต่อปี และล่าสุดได้ขยายการลงทุนในธุรกิจรีไซเคิลวัสดุบรรจุภัณฑ์ (Packaging Materials Recycling Business) ใน Peute Recycling B.V. ( เพอเธ่) และการลงทุนใน Imprint Energy Inc. (Imprint) สหรัฐอเมริกา ที่ผลิตแบตเตอรี่ด้วยการพิมพ์ (Printed Battery) โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 105 ล้านบาท และมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ร้อยละ 3.3 เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต สามารถนำความรู้ความเชี่ยวชาญมาขยายสู่ภูมิภาคอาเซียนได้ในอนาคต รวมทั้งการนำเทคโนโลยีมาใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะได้ด้วย

SCGP ยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามกรอบแนวคิด ESG และการก้าวไปสู่เป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 ด้วยการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ใช้พลังงานในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การพัฒนานวัตกรรมสินค้า บริการ และโซลูชันที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมถึงขยายความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อน ESG ล่าสุด SCGP ได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง บริษัท คาโอ อินดัสเทรียล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Kao ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและธุรกิจเคมีภัณฑ์ชั้นนำ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมและการให้ความสำคัญต่อการรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของสองบริษัทที่มีเป้าหมายเดียวกันในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างแนวทางที่ยั่งยืนสำหรับผู้บริโภค
กำลังโหลดความคิดเห็น