xs
xsm
sm
md
lg

“บางจาก” ขยายธุรกิจ E&P รับน้ำมันพุ่ง BCPG ขอเอี่ยวลงทุนแบตเตอรี่ลิเทียม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นแรงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนเมื่อต้นปี 2565 ทำให้อุปทานพลังงานตึงตัว และการผ่อนคลายมาตรการจำกัดกิจกรรมทางสังคมในหลายประเทศทั่วโลกทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทพลังงานไทยอย่าง บมจ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ที่มีธุรกิจต้นน้ำถึงปลายน้ำตั้งแต่การสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) โรงกลั่นน้ำมัน สถานีบริการน้ำมันและอื่นๆ เติบโตอย่างโดดเด่น

ในไตรมาส 1 ปี 2565 บางจากมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 69,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และ 67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยมี EBITDA อยู่ที่ 13,714 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จากไตรมาสก่อน และโตขึ้น 189% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิ 4,356 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148% จากไตรมาสก่อน และโตขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปี 2564

ผลประกอบการที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกเงินลงทุนในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศนอร์เวย์ (OKEA) เป็นบริษัทย่อย กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันที่ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้บริษัทมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิสูงถึง 2,900 ล้านบาท และค่าการกลั่นพื้นฐานปรับตัวสูงขึ้น ทำให้โรงกลั่นบางจากมีการปรับเพิ่มอัตรากำลังการผลิตจนสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ระดับ 122,100 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 102% ของกำลังการผลิตรวม ขณะที่กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ก็ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมาก คาดว่าปีนี้ OKEA จะมีกำลังการผลิตมากกว่า 20,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในแหล่งผลิตปิโตรเลียม ขณะที่ธุรกิจการตลาดมีรายได้เพิ่มขึ้นมากจากราคาน้ำมันที่ปรับตัว




ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กล่าวว่า ราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 2/2565 ได้รับแรงหนุนจากภาวะอุปทานน้ำมันดิบที่ตึงตัวอย่างมากจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่วนราคาน้ำมันใสก็ได้รับแรงหนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัว ส่งผลดีต่อธุรกิจโรงกลั่น ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ รวมถึงค่าการกลั่นพื้นฐานก็อยู่ในระดับสูง ดังนั้นโรงกลั่นบางจากจึงรักษากำลังการกลั่นให้อยู่ระดับสูงที่ 102% ของกำลังการกลั่นรวม

ขณะที่ยอดขายน้ำมันและราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 2/2565 ก็เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 1/2565 โดยมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันเล็กน้อยในไตรมาสนี้ ส่งผลประกอบการไตรมาส 2/2565 เติบโตขึ้นเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อน

ส่วนกรณีที่ภาครัฐได้หารือกับบรรดาโรงกลั่นน้ำมันเพื่อขอความร่วมมือในการส่งกำไรค่าการกลั่นส่วนเกินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น บางจากพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐภายใต้กฎหมาย และมาตรการต่างๆ ที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถตอบคำถามผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งผู้ถือหุ้นได้ ยอมรับว่าราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนอยู่มาก เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2565 ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสปรับตัวลงไป 0.8 เปอร์เซ็นต์ ไปอยู่ที่ 97.74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ต่ำกว่าระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังมีความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำมันในอนาคต เมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับลดลงแรงก็จะกระทบต่อค่าการกลั่นด้วย

ปัจจุบันโรงกลั่นบางจากมีกำลังการกลั่นน้ำมันดีเซลคิดเป็นสัดส่วน 50% เบนซิน 16% ก๊าซ LPG 3-4% น้ำมัน UCO 20% และน้ำมันเตา 10%


อย่างไรก็ดี จากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2564 ส่งผลดีต่อธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ทำให้บริษัท OKEA ASA ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บางจากถือหุ้นอยู่ 46% ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจผลิตปิโตรเลียม ล่าสุดได้ลงนามในสัญญาซื้อแหล่งปิโตรเลียมในทะเลเหนือ 3 แหล่ง ถือหุ้น 35.2% ในแหล่ง Brage, 6.4% ในแหล่ง Ivar Aasen, และ 6% ในแหล่ง Nova ส่งผลให้ปริมาณการผลิตปิโตรเลียมในปี 2565 ของ OKEA เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5,000-6,000 บาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันผลิตอยู่ที่ 20,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ OKEA ยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อแหล่งปิโตรเลียมใหม่เพิ่มเติมในแถบทะเลเหนือเพราะถือว่าเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่และมีต้นทุนการผลิตต่ำ เน้นแหล่งปิโตรเลียมที่ผลิตเชิงพาณิชย์แล้วเพื่อรับรู้รายได้ทันที คาดว่าจะเห็นการซื้อแหล่งปิโตรเลียมเพิ่มเติมในปี 2565

นอกจากนี้ บางจากยังได้สิทธิในการซื้อแร่ลิเทียมตามสัญญาสูงสุด 6,000 ตันต่อปีจากบริษัท Lithium Americas Corp. (LAC) แม้ว่าบางจากได้ขายหุ้น LAC ไปแล้วก็ตาม โดยบริษัทมองการพัฒนาต่อยอดผลิตเป็นแบตเตอรี่เอง หรืออาจขายให้ผู้ที่สนใจในตลาดก็ได้ การที่บางจากได้สิทธิซื้อแร่ลิเทียม เปรียบเสมือนเรามีเครื่องมือต่อรองกับพาร์ตเนอร์ เพราะลิเทียมเป็นที่ต้องการของตลาด ยิ่งอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาเร็วด้วยแล้ว นับเป็นไม้เด็ดของบางจากในการก้าวสู่ธุรกิจนี้


 BCPG ลุย New S-Curve ชูธุรกิจแบตเตอรี่

ภูวดล สุนทรวิภาต ผู้จัดการใหญ่ และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทหาโอกาสการลงทุนธุรกิจ New S-Curve นอกเหนือจากธุรกิจไฟฟ้า แต่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เพราะธุรกิจไฟฟ้ามี P/E 12-13% ก็จบแล้ว ซึ่งบริษัทสนใจในธุรกิจแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) เพื่อรองรับดีมานด์การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดแบตเตอรี่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งธุรกิจ Smart City Planning ที่ได้มีการดำเนินการแล้วในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ที่ผ่านมาบริษัทได้ลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นกู้แปลงสภาพบริษัท วีอาร์บี เอนเนอร์ยี่ (VRB Energy) ประเทศจีน วงเงิน 24 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 772 ล้านบาท ในธุรกิจผลิตและจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่นวัตกรรมแบตเตอรี่ประเภทวานาเดียม (Vanadium) ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ที่มีความเสถียร มีต้นทุนต่อหน่วยต่ำ และมีอายุการใช้งานยาวนานที่สุด สามารถเก็บสำรองไฟฟ้าได้เป็นเวลานาน มีความปลอดภัย โดยเงินลงทุนจะใช้ในโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตและประกอบแบตเตอรี่กำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ต่อปี ขณะนี้ VRB อยู่ระหว่างดำเนินการผลิตแบตเตอรี่เฟสแรกขนาด 40 เมกะวัตต์/200 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) และสร้างโรงงานผลิตและประกอบแบตเตอรี่ขนาด 50 เมกะวัตต์ต่อปี

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจะนำแบตเตอรี่วานาเดียมไปใช้ในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทยที่บริษัทดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์อยู่แล้ว รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดเแทนในอนาคตเพื่อซัปพอร์ตประสิทธิภาพการจ่ายไฟของโรงไฟฟ้าให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ BCPG อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในแบตเตอรี่เพิ่มเติม เช่น แบตเตอรี่ลิเทียม ไอออน สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยอาจจะร่วมลงทุนกับ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น


ลุยโรงไฟฟ้าในไทย-ไต้หวัน-อาเซียน

ส่วนธุรกิจหลักก็ยังมีการลงทุนต่อเนื่อง โดยแสวงหาการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งในไทย และต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศไต้หวันที่ส่งเสริมพลังงานสะอาดเต็มที่ โดยมีแผนเพิ่มโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นปีละ 3,000 เมกะวัตต์ต่อเนื่อง 5 ปี ดังนั้นบริษัทจึงได้จัดตั้งบริษัท บีซีพีจี ฟอร์โมซ่า จำกัด เพื่อลงทุนพัฒนาและก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) โดยบริษัทถือหุ้น 100% พร้อมวางเป้าหมายในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ 1,000 เมกะวัตต์ใน 5 ปีข้างหน้าเพื่อลดการพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์และเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวัน ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 357 เมกะวัตต์ และเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทำให้บริษัทฯ มีการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวันรวม 469 เมกะวัตต์ คาดว่าจะทยอยจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ในปี 2565-2568 ส่วนอัตราค่าไฟฟ้าค่อนข้างน่าพอใจอยู่ที่ 5.20-5.60บาท/หน่วย

การพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไต้หวันเป็นหนึ่งในแผนกลยุทธ์ที่สำคัญของบริษัทฯ ซึ่งต่อยอดจากการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น เมื่อรวมกับโครงการในประเทศญี่ปุ่นที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทำให้บริษัทฯ มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกรวม 586 เมกะวัตต์

ส่วนประเทศไทย บริษัทกลับมาพิจารณาโอกาสการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในไทยเพิ่มเติม หลังจากไทยมีแผนเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561-2580 ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) ในช่วงปี พ.ศ. 2564-2573 (ปรับปรุงเพิ่มเติม) โดยมีกำลังผลิตตามสัญญาจากพลังงานสะอาดรวมทั้งสิ้น 9,996 เมกะวัตต์ และเห็นชอบหลักการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและข้อเสนออัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff สำหรับปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง กำลังผลิตตามสัญญาไม่เกิน 90 เมกะวัตต์ ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (Solar Ground-mounted) พลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (Solar+BESS) พลังงานลม และก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) โดยจะดำเนินการเปิดรับซื้อไฟฟ้าด้วยวิธีการใช้หลักเกณฑ์การคัดเลือกที่พิจารณาถึงความพร้อมด้านราคา คุณสมบัติ และเทคนิคร่วมกัน

BCPG วางงบลงทุน 5 ปีนี้อยู่ที่ 95,000 ล้านบาท โดยปี 2565 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ 30,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเน้นการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A) รวมทั้งเร่งโครงการสายส่งไฟฟ้าและสถานีไฟฟ้าย่อยจากสปป.ลาวไปยังเวียดนามสำหรับการส่งกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A และ Nam San 3B ซึ่งบริษัทฯ เป็นเจ้าของ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในบริเวณใกล้เคียงใน สปป.ลาว เพื่อส่งไฟฟ้าไปขายให้ EVN ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ทำให้ BCPG รับรู้รายได้จากอัตราค่าบริการในการใช้ระบบจำหน่ายของการไฟฟ้า (Wheeling Charge) จากโรงไฟฟ้าที่ต้องการใช้บริการสายส่งไฟฟ้าด้วย

ในปี 2565 บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าใหม่ที่จ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) หลายโครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ และโคมากาเนะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังการผลิต 4.9 เมกะวัตต์


BBGI สยายปีกลงทุน SynBio

ด้าน บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) ผู้นำธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพในประเทศไทย และมีการนำเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงมาพัฒนาต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง โดยการร่วมมือกับ Manus Bio Inc. ผู้นำธุรกิจเทคโนโลยีชีวภาพระดับโลก เช่น สารให้ความหวาน ที่มีรสชาติเหมือนน้ำตาล โดยตั้งบริษัทร่วมทุน WIN Ingredients และวางแผนตั้งโรงงาน SynBio ผลิต Multi-Products แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

กิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างชาติในการร่วมลงทุนตั้งโรงงาน CDMO โดยจะมีถังหมัก ใส่เชื้อจุลินทรีย์มาเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพด้วยเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ หรือ “SynBio” เป็นธุรกิจ New S-Curve ที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพ อาทิ plant based คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในเร็วๆ นี้

ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาและผลิตน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ ขณะนี้บริษัท บางจากไบโอฟูเอล (BBF) ในเครือ BBGI ร่วมกับพันธมิตรทั้ง บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (SCGC) และ บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน)(QTC) ศึกษาโครงการพัฒนาและผลิตน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ หรือ Bio Transformer Oil พบว่าผลการศึกษามีความคืบหน้าไปได้ด้วยดี คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ และผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2566

โครงการผลิตน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพนี้จะใช้น้ำมันปาล์มและผลิตภัณฑ์พลอยได้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งเป็นวัตถุดิบจากผลผลิตทางการเกษตรมาสร้างมูลค่าเพิ่มในเชิงเศรษฐกิจและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยนวัตกรรมสีเขียว เป็นโครงการที่จะช่วยเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และสร้างผลิตภัณฑ์โอลีโอเคมีคัลมูลค่าเพิ่มต่อยอดจากธุรกิจไบโอดีเซล และกลีเซอรีนบริสุทธิ์ของ BBF สอดคล้องนโยบายเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของภาครัฐ นับเป็นก้าวที่สำคัญต่อธุรกิจพลังงานชีวภาพ

ดังนั้น ในช่วงนับจากนี้ไปเป็นจังหวะที่กลุ่มบางจากจะขยายการลงทุนเพิ่มเติมอย่างรอบคอบ โดยคำนึงถึงความเสี่ยงจากผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น