xs
xsm
sm
md
lg

ราคาหุ้น AOT ทะยานไม่หยุด ลุ้นปีหน้าพลิกฟื้นกลับมีกำไร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



นโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ดันหุ้น “ท่าอากาศยานไทย” ทะยานขึ้นต่อเนื่องล่าสุดแตะ 70 บาทครั้งแรกในรอบ 2 ปี คาดมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นกำไรในปีหน้า หลังรายได้ฟื้นตัวในทุกธุรกิจ จนมาร์เกตแคปครึ่งปีแรกแซง “ปตท.”ไปแล้ว ด้านโบรกฯ เชื่อมีลุ้นถึง 80 บาท

ในการประชุมคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ( AOT) เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ที่ผ่านมา AOT รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ที่ประชุมมีมติรับทราบประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศ จากการประเมินผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสถานการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ฉบับเดือนมิถุนายน 2565 พบว่า ปัจจัยแรกคือเชิงนโยบาย ได้แก่ นโยบายการเปิดประเทศที่รับผลกระทบจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2564 อันมีผลต่อการปรับลดตารางการบิน (slot) ของสายการบินและอัตราบรรทุกที่ลดลง

ประการที่สองคือ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ นโยบายการเปิดประเทศของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และปัญหาสงครามในยูเครน จากเหตุผลดังกล่าว AOT จึงมีความจำเป็นต้องทบทวนประมาณการปริมาณจราจรทางอากาศให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้ฐานผู้โดยสารที่เกิดขึ้นจริงในปี 2565 ประกอบกับข้อมูลการขอจัดสรรตารางการบินฤดูหนาวในเดือนตุลาคม 2565 (ฤดูกาลท่องเที่ยวปีงบประมาณ 2566) ที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะเที่ยวบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีน

ทั้งนี้จากสมมติฐานและปัจจัยข้างต้น AOT ประมาณการว่าการฟื้นตัวของผู้โดยสารในปีงบประมาณ 2565 จะมีผู้โดยสารรวม 45.60 ล้านคน มีปริมาณเที่ยวบิน 402,970 เที่ยวบิน ฟื้นตัวคิดเป็น 33% และ 45% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2562 ก่อนเกิดโควิด-19และคาดว่าในปีงบประมาณ 2566 และ 2567 จะมีผู้โดยสารจำนวน 95.70 ล้านคน และ 141.51 ล้านคน ตามลำดับ โดยการฟื้นตัวคิดเป็น 68% และ 99% ตามลำดับ สำหรับเที่ยวบินในปีงบประมาณ 2566 และ 2567 คาดว่ามีจำนวน 664,796 เที่ยวบิน และ 892,414 เที่ยวบิน การฟื้นตัวคิดเป็น 74% และ 99% ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับปกติเช่นเดียวกับช่วงปี 2562

อย่างไรก็ตาม การทบทวนประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศยังคงมีหลายปัจจัยสำคัญที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ นโยบายการเปิดประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน โอกาสการกลับมาระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หรือโรคระบาดอื่นๆ ตลอดจนผลกระทบของสงครามรัสเซียยูเครนเป็นสำคัญต่อไป

ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ภาพรวม  นับตั้งแต่ไทยเริ่มเปิดประเทศ AOT ได้รับผลบวกอย่างมาก เนื่องจากสนามบินภายใต้การบริหารงานของ ทอท.จำนวน 6 แห่ง โดยเฉพาะสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง มีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มมากขึ้น นั่นทำให้ราคาหุ้นที่ซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์ของบริษัทปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2565 โดยสามารถพุ่งขึ้นแตะ 70.00 บาท เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาหุ้น AOT เคยทำจุดสูงสุดไว้ที่ระดับ 81.00 บาทต่อหุ้นในเดือน พฤศจิกายน 2562 และต่ำสุดที่ระดับ 47.25 บาท ในเดือน มีนาคม 2563

โดยปัจจัยสนับสนุนให้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจาก นโยบายการเปิดประเทศ เมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกคลี่คลายทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเดินทางอีกครั้ง ขณะที่ประเทศไทยนับเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ในการท่องเที่ยว

รายได้ส่งสัญญาณฟื้นตัว

สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 (มกราคม-มีนาคม 2565) ของ AOT ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากขาดทุนสุทธิ 3.27 พันล้านบาท หรือขาดทุนลดลง 10.09% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 3.64 พันล้านบาท โดยมีรายได้จากการขาย 1.23 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากรายได้เที่ยวบิน และบริการภาคพื้นที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

โดย  กิจการการบินมีรายได้ 1.24 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 674.74 ล้านบาท หรือ 117.89% จากการเพิ่มขึ้นของผู้โดยสาร 6 สนามบิน และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน 1.76 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 564.64 ล้านบาท หรือ 46.85% นอกจากนี้ ยังมีรายได้ค่าบริการสนามบินเพิ่มขึ้น 132.86 ล้านบาท หรือ 54.08% จากการเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินรวม 44.55% รายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มขึ้น 246.72 ล้านบาท หรือ 68.73% ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจร้านค้าปลอดอากร ธุรกิจการบริหารกิจกรรมเชิงพาณิชย์ และธุรกิจบริการภาคพื้นและซ่อมบำรุง และรายได้อื่นอยู่ที่ 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 256.69 ล้านบาท หรือ 94.96% มาจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากแปลงค่าเงินตราต่างประเทศของเงินกู้ระยะยาวที่อยู่ในสกุลเงินเยน

แต่ AOT มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 826.73 ล้านบาท หรือ 14.06% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ ค่าสาธารณูปโภค ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา ค่าจ่ายผลประโยชน์พนักงาน ค่าใช้จ่ายอื่น ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ทำให้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 AOT มีสินทรัพย์รวม 1.82 แสนล้านบาท ลดลง 6.45% จากวันที่ 30 กันยายน 2564 และมีหนี้สินรวม 7.66 หมื่นล้านบาท ลดลง 6.19% จากในช่วงเดียวกัน

โดยในช่วงระยะ 6 เดือน (ตุลาคม 2564-มีนาคม 2565) สนามบิน 6 แห่งของ AOT มีปริมาณจราจรทางอากาศรวม 164,386 เที่ยวบิน ลดลง 1.76% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น ในประเทศ 50,739 เที่ยวบิน และต่างประเทศ 113,647 เที่ยวบิน ขณะที่ผู้โดยสารมีทั้งหมด 15.85 ล้านคน เพิ่มขึ้น 0.46% แบ่งเป็นผู้โดยสารในประเทศ 2.39 ล้านคน และผู้โดยสารต่างประเทศ 13.46 ล้านคน

จากสถานการณ์ดังกล่าว มีหลายฝ่ายประเมินว่าผลการดำเนินงานปกติของ AOT ในปี 2565 จะขาดทุนลดลงเป็น 1 หมื่นล้านบาท ดีขึ้นจากปี 2564 ที่ขาดทุน 1.5 หมื่นล้านบาท และปี 2565 (ตุลาคม 2565-กันยายน 2566) ก็มีโอกาสจะพลิกเป็นกำไรได้ถึง 6.8 พันล้านบาท


จับตา "ธนารักษ์" เรียกเก็บค่าเช่า

อย่างไรก็ตาม ในข่าวดีที่ออกมาอย่างต่อเนื่องของ AOT ก็มีข่าวที่เข้ามากดดันต่อผลประกอบการของบริษัทเช่นกัน นั่นคือ เพราะเมื่อเร็วๆ นี้ “ประภาศ คงเอียด” อธิบดีกรมธนารักษ์ ออกมากล่าวว่า กรมฯ เตรียมเรียกเก็บค่าเช่าที่ราชพัสดุกลับมาเป็นอัตราปกติ ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ หากศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค. ประกาศให้ไวรัสโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นในเดือนดังกล่าว ดังนั้นผู้เช่าทุกรายที่เคยได้รับการลดหย่อนไปก่อนหน้านี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะต้องกลับมาจ่ายในอัตราค่าเช่าปกติที่กรมฯ กำหนดไว้

สำหรับผู้เช่ารายใหญ่ อาทิ AOTจะต้องกลับมาชำระค่าเช่าตามสัญญาเดิม ซึ่งก่อนหน้านี้กรมฯ ลดค่าเช่าโดยอิงกับประกาศของ ศบค. ดังนั้นเมื่อมีการยกเลิกประกาศดังกล่าว ผู้เช่าก็ต้องมีหน้าที่กลับมาจ่ายในอัตราปกติก่อนหน้าที่เกิดการแพร่ระบาด

อย่างไรก็ตาม พบว่า ตามข้อตกลงการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุ กรณีมีเหตุสุดวิสัยอันส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของผู้ใช้ประโยชน์ กรมธนารักษ์สามารถพิจารณาการเรียกเก็บเงินค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ใหม่ตามความเหมาะสม ทำให้เริ่มมีแนวคิดว่าอยากขอให้กรมธนารักษ์พิจารณาแนวทางการปรับลดค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุปีงบประมาณ พ.ศ.2564 สำหรับท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ AOT

มาร์เกตแคปแซงเบอร์หนึ่ง PTT


ขณะเดียวกัน จากราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ของ AOT ขยับขึ้นตามจนเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปสูงสุดอันดับ 1 ในตลาดหุ้น โดยมีมาร์เกตแคปจำนวน 9.96 แสนล้านบาท (24 มิ.ย.) แซงบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งมีมาร์เกตแคปจำนวน 9.49 แสนล้านบาทแล้ว

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ AOT ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยผลประกอบการทรุดหนัก จากกำไรที่เติบโต พลิกเป็นขาดทุนกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และไตรมาสแรกปีนี้ก็ยังขาดทุนอยู่ แต่ราคาหุ้นกลับปรับตัวลงน้อยมาก ถ้าเทียบกับหุ้นในกลุ่มการท่องเที่ยวด้วยกัน

แม้การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเต็มรูปแบบ และผลประกอบการของ AOT คงไม่กลับมาดีเหมือนเดิมในระยะเวลาอันสั้น แต่ ดูเหมือนนักลงทุนพร้อมรอคอยการกลับมาของหุ้นตัวนี้ โดยเมื่อมีข่าวเชิงบวกเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ราคาจะพุ่งขึ้นขานรับทันที แต่เมื่อมีข่าวเชิงลบ ราคากลับไม่ลงรุนแรงแต่อย่างใด ปริมาณหุ้น AOT ที่หมุนเวียนซื้อขายในตลาดมีไม่มาก โดยกระทรวงการคลังถือหุ้นสัดส่วน 70% ของทุนจดทะเบียน และนักลงทุนสถาบันถือหุ้นรวมกันสัดส่วนกว่า 10% จึงมีหุ้นที่ซื้อขายหมุนเวียนในหมู่นักลงทุนรายย่อยเพียง 10% เศษ และนักลงทุนที่ซื้อหุ้นตัวนี้ มักจะถือเพื่อการลงทุนระยะยาว แม้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะต่ำก็ตาม


โบรกฯปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  
ปรับเป้าหมาย AOT และมีมุมมองเชิงบวกจากการที่ AOT จะเริ่มพลิกทำกำไร โดยมีราคาเป้าหมาย AOT ปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 80 บาท และเพิ่มคาดการณ์กำไรหลักปี 2566 ขึ้น 5% เป็น 1.19 หมื่นล้านบาท ถือเป็น การฟื้นตัวที่แข็งแกร่งจากขาดทุน 1.05 หมื่นล้านบาทในปี 2565 ซึ่งเกิดจากผลกระทบจากโอมิครอน ในไตรมาส 2/65 (ปีปฏิทินไตรมาสแรกปี 65) ซึ่งน่าจะเป็นไตรมาสที่แข็งแกร่ง และส่วนลด 50% สำหรับค่าธรรมเนียมการลงจอดและค่าจอดเครื่องบิน รวมทั้ง ค่าเช่า (เพื่อช่วยเหลือสายการบินและ ผู้ค้าในสนามบิน) ที่จะหมดอายุในเดือนมีนาคม 2566

สิ่งที่น่าสนใจเมื่อส่วนลด 50% หมดไปและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 22 ล้านคนในปี 2566 จาก 9 ล้านคน ในปี 2565 ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์จึงมองว่าน่าจะเป็นปัจจัยบวกหนุนราคาหุ้น AOT ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์หลักจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวของไทย และเป็น Top Pick ในภาคการท่องเที่ยวของไทย


ล่าสุดในเดือนเมษายน 2565 นักท่องเที่ยว ต่างชาติมีทั้งสิ้น 293,350 คน เพิ่มขึ้น 39% เทียบเดือนก่อน เนื่องจากการผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศ อย่างการยกเลิกตรวจ RT-PCR ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 และวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ฝ่ายวิเคราะห์ มองว่า การกำหนดให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นตามแผนในครึ่งปีหลังน่าจะช่วยเร่งการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะพุ่งสูงสุดในไตรมาส 4/65 

นอกจากนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ต่างชาติจะแตะระดับอย่างน้อย 3 ล้านคน ในไตรมาส 4/2565 ทั้งนี้ เนื่องจาก AOT คิดค่าบริการผู้โดยสาร (PSC) ขาเข้าครั้งละ 700 บาท เทียบกับ 100 บาท ในผู้โดยสารภายในประเทศ การฟื้นตัวของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศจึงเป็นปัจจัยหลักในการทำกำไรในปี 2566

จากข้อมูลพบว่าในเดือนเมษายน ปี 2565 นักท่องเที่ยว จากยุโรปคิดเป็น 39% ของจำนวน นักท่องเที่ยวทั้งหมด 293,350 คน ประเทศ ต้นทางที่ใหญ่ที่สุดคือสหราชอาณาจักร (29,647)ตามด้วยเยอรมนี (19,769) และฝรั่งเศส (14,132) ซึ่งในยุโรปมีประเด็นความคัดแย้งของสงครามในยูเครน แต่ฝ่ายวิเคราะห์ มองว่ามีผลกระทบที่จำกัด และแม้ว่ายุโรปอาจมีปัญหาเศรษฐกิจ ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามยูเครน แต่เชื่อว่าอุปสงค์ที่อั้นมานาน ในยุโรปจะยังคงแข็งแกร่งอยู่ โดยมียอดจองล่วงหน้าช่วงฤดูร้อน (มิ.ย.-ก.ค.) สูงถึงระดับก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดของ โควิด-19 แล้ว จากอัตราการฉีดวัคซีนของประเทศไทยที่ช้ากว่ยุโรป 3-6 เดือน ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าชาวยุโรปจะเริ่มเดินทางมาประเทศไทย ตั้งแต่ไตรมาส 4/2565 เป็นต้นไป

ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ใช้วิธี DCF, WACC 6.3%, การเติบโต 3.5% ประเมินราคาเป้าหมาย ชอบ AOT ที่มีการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และเป็นประตูสู่ประเทศไทย ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ โควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้รัฐบาลไทยออกมาตรการเข้าประเทศที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ทั้งนี้คาดว่าตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายน 2565 เป็นต้นไป จะมีปริมาณผู้โดยสารใช้สนามบินเฉลี่ยประมาณ 7 หมื่นคนต่อวัน ขณะที่คาดว่าจำนวนเที่ยวบินคาดว่าเฉลี่ยวันละประมาณ 500 เที่ยวบินต่อวัน แยกเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 55% และเที่ยวบินในประเทศ 45% ประเมินตั้งมิถุนายน-ธันวาคม ปี 2565 จะมีผู้โดยสารเดินทางเข้าไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศรวมประมาณ 22 ล้านคน

สำหรับแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 200 ล้านคนภายในปี 2575 นั้น เบื้องต้นแผนการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารฝั่งตะวันออก อยู่ระหว่าง ปรับผังการก่อสร้างเพื่อให้การใช้สายพาน กระเป๋าสามารถเชื่อมต่อกับอาคาร ผู้โดยสารทางด้านทิศเหนือได้ คาดว่า จะสามารถนำเสนอคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด AOT) และเสนอเข้าสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ภายในปี 2565 นี้และ จะสามารถเปิดประมูลได้ภายในต้นปี 2566

คาดปี 2566 พลิกกลับเป็นกำไร


ด้าน  บล.เคทีบีเอสที ระบุว่า มองเป็นกลาง โดย AOT ปรับจำนวนผู้โดยสารใหม่ ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ทั้งนี้ AOT ได้มีการปรับประมาณการจำนวนผู้โดยสารใหม่ลดลง เนื่องจากประมาณการเดิมทำไว้ในเดือน ต.ค. 64 ยังไม่ได้รวมผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนและจีนที่ยังคงนโยบาย Zero Covid ซึ่งประเมินว่าตลาดรับรู้ไปแล้ว สำหรับตัวเลขประมาณการจำนวนผู้โดยสารใหม่ของ AOT ยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจน ปี 66-67 ตามเดิม โดยตัวเลขยังใกล้เคียงที่เราประเมินไว้ในปี 65-67 ที่ 45 ล้านคนหรือเพิ่มขึ้น 125%, 90 ล้านคน หรือ 97% และ 135 ล้านคน หรือ 41% เทียบปีก่อนตามลำดับ

สำหรับ ผลการดำเนินงานในปี 65-67 ประเมินที่ลดลง 1.0 หมื่นล้านบาท, เพิ่มขึ้น 6.8 พันล้านบาท และเพิ่มขึ้น 2.7 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ทำให้คงคำแนะนำ ซื้อราคาเป้าหมาย 76.00 บาท อิงวิธี DCF (WACC = 7%, terminal growth = 3.5%) ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นและ outperform SET +14% ในช่วง 3 เดือน จากการผ่อนคลายการเปิดประเทศ ซึ่ง AOT จะได้ประโยชน์โดยตรงจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ทำให้ผู้โดยสารกลับมาปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะผู้โดยสารระหว่างประเทศ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานจะเร่งปรับตัวดีขึ้นใน ครึ่งหลังปี 65 และจะพลิกเป็นกำไรได้ในปี 66 ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยหนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง
กำลังโหลดความคิดเห็น