หากจะกล่าวถึงอาหารจีนในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารกวางตุ้ง อาหารแต้จิ๋ว ที่ได้รับอิทธิพลจากชาวจีนมาตั้งรกรากทำการค้า หลบหนีสงครามและความยากจนมายังประเทศไทย ได้นำเอาวัฒนธรรม ประเพณี และอาหารการกินมาด้วย แต่ในความเป็นจริง ยังมีอาหารจีนที่ปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ๆ ซึ่งบางประเภทน้อยคนนักที่จะรู้จักและลองลิ้มชิมรส
หนึ่งในร้านอาหารจีนสมัยใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในไทย มีชื่อว่า "ล่าเมียว" (La Meow) อาหารจีนใน สไตล์หูหนานและเสฉวน ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเผ็ดแบบแซบบาดใจ ด้วยความที่มณฑลหูหนานมีภูมิอากาศและภูมิประเทศ ตั้งอยู่บนเส้นละติจูด เป็นแหล่งเพาะปลูกพริกหลากหลายสายพันธุ์ และคนที่นั่นชื่นชอบอาหารเผ็ด อาหารหูหนานจึงเน้นรสชาติเผ็ดเปรี้ยวเป็นหลัก
ผู้ก่อตั้งร้านคือ รัตตรุจน์ ทองประดิษฐ์ หรือแอม วิศวกรหนุ่ม จากจุดเริ่มต้นไปทำงานที่เมืองเซี่ยเหมิน ติดใจอาหารหูหนาน พบรักกับสาวหูหนาน ก่อนตัดสินใจทำร้านอาหารจีนหูหนานในไทย ลงทุนบินลัดฟ้าตามหาเชฟอาหารจีนตำรับหูหนาน เปิดร้านที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2560 การันตีโดยภรรยาชาวจีนที่ควบคุมคุณภาพ เน้นรสชาติต้องจัดจ้าน ติดใจลูกค้าตั้งแต่คำแรกที่ลอง
เมนูที่ขายดีที่สุดของทางร้าน คือ ไก่ทอดพริกเสฉวน โรยด้วยพริกหม่าล่า รองลงมาคือ หมูสามชั้นน้ำแดงหูหนาน เรียกอีกชื่อว่า “หมูตุ๋นประธานเหมา” เพราะในอดีต เหมา เจ๋อ ตุง อดีตประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชอบอาหารนี้มาก ส่วนด้านหน้าร้านจะเป็นเมนู หม่าล่าผัดแห้ง ซุปหม่าล่าเสฉวน ซุปคอลลาเจน ที่ลูกค้าเลือกวัตถุดิบ เลือกระดับความเผ็ด และระดับความเค็มได้เอง
รัตตรุจน์ อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างอาหารทั้งสองประเภทว่า อาหารหูหนาน จะเป็นรสเผ็ดเปรี้ยว ไม่ค่อยหวานนัก มีพริกที่มีรสเปรี้ยว เวลากินจะมีกลิ่นหอม อาหารเด่นของหูหนานมีอยู่ 3 อย่าง คือ เต้าหู้เหม็น อาหารรมควัน และใช้พริกเยอะมาก ส่วน อาหารเสฉวน จะเป็นรสเผ็ดชา เรียกว่า หม่าล่า และมีความมันมากกว่า
เหตุที่นำอาหารทั้งสองแบบมาไว้ที่นี่ เพื่อต้องการให้อาหารที่มีรสชาติใกล้เคียงกันเป็นจุดขาย ที่ผ่านมาผู้บริโภคคนไทยมองว่าอาหารจีนนั้นจืด เลี่ยน และต้องทานในโอกาสสำคัญ เช่น ปีใหม่ ตรุษจีน วันพ่อ วันแม่ หรือวันเกิด จึงทำร้านอาหารให้เหมาะกับการทานได้ทุกโอกาส โดยใช้เชฟชาวจีนจากหูหนานโดยตรง โดยพบว่าลูกค้าส่วนมาก 80% จะเป็นผู้หญิง
เขาอธิบายถึงเมนูที่ขายดีที่สุดของทางร้าน คือ ไก่ทอดพริกเสฉวน ทางร้านจะใช้สะโพกไก่ติดกระดูกมาสับทอดกรอบ โรยด้วยพริกหม่าล่า ที่เรียกว่า เม็ดฮวาเจียว ที่ทำให้ลิ้นชา ทางร้านสั่งมาจากเสฉวนโดยตรง กิโลกรัมละ 1,000 บาท ส่วน หมูสามชั้นน้ำแดงหูหนาน นำหมูต้มในเตาถ่านนาน 8 ชั่วโมง ก่อนปรุงรสที่หน้าร้านด้วยวัตถุดิบสูตรเฉพาะของทางร้าน ให้รสชาติอร่อยขึ้น
นอกจากนี้ ยังมี เนื้อรมควันผัดต้นกระเทียม เป็นอาหารหูหนาน นำเนื้อวัวมารมควันในเตา ใช้เปลือกพริกและเปลือกข้าวนาน 8 ชั่วโมง ก่อนนำมาผัดกับพริกและต้นกระเทียม อีกเมนูที่หน้าตาธรรมดาแต่รสชาติไม่ธรรมดา คือ ดอกกะหล่ำผัดพริกแห้ง ส่วนอาหารเรียกน้ำย่อย มีทั้งยำแตงกวา ถั่วแขกผัดพริกแห้ง (อาหารเสฉวน) และเต้าหู้เหม็น ที่ทำแบบแฮนด์เมดต้องสั่งจองล่วงหน้า
ที่ผ่านมาร้านล่าเมียวมีลูกค้าชาวจีนที่คิดถึงอาหารจีนต้นตำรับ ลูกค้าชาวไทยที่รู้จักผ่าน "เชฟฟ่ง จวิ้น" เชฟของทางร้านที่เคยไปออกรายการเชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทย และกระแสบอกต่อจากบล็อกเกอร์และสื่อที่มารีวิวร้าน ผลก็คือมีลูกค้าคนไทยเป็นหลัก แม้กระทั่งเปิดสาขานอกทำเลที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ เช่น ย่านท่าพระ ฝั่งธนบุรี ก็มีลูกค้าตอบรับที่ดี
ปัจจุบันร้านล่าเมียวมีอยู่ 3 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 7, เซ็นทรัลพระราม 9 ชั้น B และสาขาล่าสุด เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ท่าพระ ชั้น 3 ส่วนการขยายสาขาในอนาคตนั้น จะพิจารณาจากศูนย์การค้าขนาดใหญ่เป็นหลัก อยากรู้จักร้านมากขึ้น เข้าไปที่เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/Lameowbkk/
Fun Fact : อาหารจีนในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ 1. อาหารซานตง 2. อาหารเสฉวน เช่น เมนูหม่าล่า ที่เผ็ดร้อนและเผ็ดชา 3. อาหารเจียงซู เช่น หมูเหลี่ยมอบ ข้าวผัดหยางโจว 4. อาหารกวางตุ้ง คนไทยคุ้นเคยกันดี เช่น ไก่ต้มสับ หมูแดงอบน้ำผึ้ง 5. อาหารเจ้อเจียง 6. อาหารฮกเกี้ยน เช่น พระกระโดดกำแพง 7. อาหารหูหนาน 8. อาหารอันฮุย
หมายเหตุ : คอลัมน์ Ibusiness review ขอหยุดตีพิมพ์ 1 ครั้ง เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และจะกลับมาพบกับคุณผู้อ่านอีกครั้ง ประมาณวันพุธที่ 20 เมษายน 2565
(เกาะกระแสธุรกิจ เศรษฐกิจสดใหม่ เรื่องราวการตลาดที่ใกล้ชิดผู้บริโภค พบกับคอลัมน์ Ibusiness review เป็นประจำทุกเช้ามืดวันพุธ ทางเว็บไซต์ ibusiness.co และเฟซบุ๊ก Ibusiness)