เมื่อขนมต่างประเทศเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยจำนวนมาก และผู้คนเริ่มนิยมขนมไทยลดลง ทำอย่างไรจึงจะยกระดับขนมไทยให้ตอบโจทย์คนยุคปัจจุบันได้ จึงเป็นสาเหตุให้ “ขนมครกลงกา” ขนมไทยสไตล์ฟิวชั่น แจ้งเกิดขึ้นมา เพราะต้องการพัฒนาขนมไทยให้เกิดความแปลกใหม่และตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น พร้อมลุยตลาดทั้งในและต่างประเทศ เปิดมา 3 ปี สร้างยอดขาย 7 หลักต่อเดือน
ธิษัณย์ ธนโรจน์ประดิษฐ์ กรรมการ บริษัท ลงกา จำกัด หนึ่งในเจ้าของร้าน เล่าว่า จุดเริ่มต้นในการสร้างแบรนด์นั้นเป็นความร่วมมือระหว่างตนและหุ้นส่วน คือ กาญจน์ ดีสุวรรณ กรรมการ บริษัท ลงกา จำกัด เช่นเดียวกัน ซึ่งชื่นชอบเครื่องดื่มและขนมเป็นปกติกันอยู่แล้ว เดิมทีทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่ม ชา มาก่อนและในยุคปัจจุบันขนมต่างประเทศเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย ทำให้ตนรู้สึกว่าทำไมถึงไม่มีขนมไทยที่มีสไตล์ใหม่ๆ หรือขนมไทยฟิวชั่นมากกว่านี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นตนจึงริเริ่มพัฒนาขนมไทยให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้นและเป็นจุดเริ่มต้นในการทำขนมไทยสไตล์ฟิวชั่น อย่างเช่น ขนมครกลงกาของทางแบรนด์นั่นเอง ปัจจุบันดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณ 3 ปี
สำหรับที่มาของชื่อแบรนด์ “ลงกา” นั้น เดิมทีทำธุกิจเครื่องดื่มขาย ซึ่งในตัวเครื่องจะมีการพูดถึง “กา” หรือกาน้ำร้อน ที่เป็นอุปกรณ์สำหรับต้มน้ำ ต่อมาหลังจากหันมาขายขนมครกและต้องการนำความเป็นไทย รวมถึงสร้างคาแรกเตอร์ให้กับตัวขนมครกเพื่อชูความเป็นขนมไทยมากยิ่งขึ้น ทางแบรนด์จึงหยิบยกและอ้างอิงมาจากตัวละคร “หนุมาน” ในเรื่องทศกัณฑ์มาสร้างเป็นตัวตน ซึ่งในเรื่องนั้นจะมีตอนที่ “หนุมานบุกกรุงลงกา” โดยสามารถเชื่อมโยงเข้ากับแบรนด์ในส่วนของการจะนำเอาขนมครกบุกตลาดพอดี จึงเป็นที่มาของชื่อแบรนด์นั่นเอง
เหตุผลที่เลือกขนมครกมาพัฒนาให้เกิดความแปลกใหม่และทันสมัยมากขึ้นนั้น ทางแบรนด์ได้มีการสำรวจตลาดและจัดอันดับขนมไทย ซึ่งขนมไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ขนมไทยที่ถูกนิยมมากที่สุด และนอกจากจะเป็นขนมที่คนนิยมจำนวนมากแล้ว ส่วนผสมยังสามารถดึงดูดลูกค้าต่างชาติได้ เช่น กะทิ ต่างชาติจะชื่นชอบกะทิเพราะทำมาจากมะพร้าว ซึ่งทางร้านมองว่าเป็นโอกาสในการเจาะกลุ่มลูกค้าและขยายตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าต่างชาติได้
ทั้งนี้ขนมครกลงกาของทางร้านจะมีความแตกต่างจากขนมครกทั่วไป คือ นำเอาผงชาโคล ชาไทย อัญชัน โกโก้และสูตรต้นตำรับคือกะทิสีขาว เข้ามาเป็นส่วนผสมเพื่อให้เกิดความแปลกใหม่และดูฟิวชั่นมากยิ่งขึ้น บวกกับให้รสชาติที่แตกต่าง รวมถึงยังใช้กะทิแท้ 100% มาเป็นส่วนผสมหลักของขนมครก ซึ่งกลายเป็นจุดเด่นของขนมครกลงกาคือมีทั้งหมด 5 สี 5 รสชาติ ซึ่งเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ทำขนมครก 5 สี รวมถึงยังสามารถสร้างคอนเท็นต์จากขนมครกไม่ว่าจะทำคอนเท็นต์รูปแบบต่างๆ เช่น ถ่ายรูปลงโซเชียล หรือถ่ายคลิปวิดีโอรีวิวขนม เป็นต้น
นอกจากนี้เมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านคือเมนู ขนมครกชาโคลชีส โดยให้อารมณ์เหมือนกินพิซซ่าแต่เป็นขนมครกชีสยืด ซึ่งท็อปปิ้งโรยหน้าขนมครกของทางร้านก็จะแตกต่างจากขนมครกทั่วไป เช่น ใช้เมล็ดอัลมอนด์ ชีส ฝอยทอง ฯลฯ ซึ่งในตอนนี้กลุ่มลูกค้านั้นจะเน้นกลุ่มลูกค้าครอบครัวที่มีกำลังซื้อ เนื่องจากทางแบรนด์กำลังทำให้ขนมครกลงกาเฟสแรกเป็นที่ยอมรับก่อน สร้างฐานลูกค้าให้แน่นอน และในตอนนี้มีฐานลูกค้าประจำจำนวนมากและกำลังจะขยายธุรกิจเข้าสู่เฟส 2 ในเรื่องของการขยายแฟรนไชส์
ทั้งนี้ในส่วนของเทคนิคและกลยุทธ์ในการทำการตลาดนั้นทางแบรนด์จะเน้นทำการตลาดออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งมาเริ่มทำในช่วงที่โควิด-19 เริ่มส่งผลไม่รุนแรง โดยมีการโปรโมทสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ รวมถึงมีการใช้อินฟลูเอนเซอร์เข้ามาเพื่อโปรโมทแบรนด์อีกหนึ่งช่องทาง นอกจากนี้ยังมีการโปรโมทที่หน้าร้าน โดยจะมีจุดให้สามารถถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้ มีไอคอนหัวหนุมานตั้งติดกับหน้าร้านเอาไว้ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี รวมถึงพัฒนาและแตกไลน์ผลิตใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น
ในส่วนของกำลังการผลิตนั้นมีเพียงพอสำหรับความต้องการของลูกค้าในแต่ละวัน และอบใหม่ทุกวัน ซึ่งกรรมวิธีในการทำขนมครกนั้นไม่ได้แตกต่างจากขนมครกทั่วไป แต่จะแตกต่างในส่วนของวัตถุดิบที่มีความแปลกใหม่และทันสมัย กลายเป็นขนมไทยสไตล์ฟิวชั่นได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้รูปแบบการขายนั้นจะมีหลากหลายรูปแบบ เช่น รสชาติเดียว หลายรสชาติรวมกัน หรือเป็นเซ็ต ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า รวมถึงมีการให้บริการสั่งแบบเดลิเวอรี่อย่าง Grab และ JD Central ซึ่งในตอนนี้ยังคงส่งในบริเวณรอบๆ พื้นที่เท่านั้น ต่างจังหวัดยังไม่สามารถจัดส่งให้ได้ แต่ในอนาคตกำลังวางแผนต่อยอดในส่วนนี้
นอกจากนี้สำหรับราคาขนมครกลงกานั้นมีราคาเดียวคือ 65 บาท รวมถึงเมนูเครื่องดื่มที่มีความพิเศษเช่นเดียวกันคือไม่ต้องผสมน้ำเพิ่ม สามารถรับประทานได้ทันทีและเป็นเครื่องดื่มที่มีระดับความหวานที่ค่อนข้างหวานน้อย เนื่องจากในยุคปัจจุบันผู้คนเริ่มใส่ใจการดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น ทางร้านจึงผลิตเมนูเครื่องดื่มที่หวานน้อยขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนเหล่านี้ โดยเมนูเครื่องดื่มนั้นจะประกอบด้วยเมนู ชาไทย ชาเขียว โกโก้ และกาแฟ ในราคา 65 บาทเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าของทางร้านนั้นจะมีทั้งคนไทยและต่างชาติ ซึ่งลูกค้าต่างชาติให้ความสนใจจำนวนมาก ขนมครกลงกามีวางขายทั้งหมด 2 พื้นที่ด้วยกัน คือ ในห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ ซึ่งลูกค้าต่างชาติจะชื่นชอบเมนูออริจินอลต้นตำรับสีขาวกับอัญชันเป็นส่วนมาก ส่วนคนไทยจะชื่นชอบเมนูขนมครกชาโคลมากกว่าเมนูอื่นๆ เป็นต้น
สำหรับแฟรนไชส์ที่กำลังวางแผนต่อยอดในอนาคตนั้น ทางแบรนด์ตั้งเป้าเอาไว้สำหรับการขยายธุรกิจประมาณ 30 แฟรนไชส์ ซึ่งอาจจะได้เห็นแฟรนไชส์ขนมครกลงกาภายในปีนี้ โดยแฟรนไชส์ขนมครกที่กล่าวมานั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนวางแผนร่วมกับเซ็นทรัลฯ นอกจากนี้ ในส่วนของยอดขายสามารถสร้างรายได้ประมาณ 7 หลักต่อเดือนและตั้งเป้ายอดขายต่อปีที่หลักร้อยล้าน
ทั้งนี้นอกจากแผนพัฒนาธุรกิจที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ทางแบรนด์ยังได้มีการวางแผนต่อยอดธุรกิจที่นอกจากจะขยายแฟรนไชส์ในห้างสรรพสินค้าแล้ว ยังมีการวางแผนขยายไปในส่วนของแฟรนไชส์ที่สามารถวางขายได้ทั่วไป และขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศซึ่งจะเป็นในรูปแบบของมาสเตอร์แฟรนไชส์ และในตอนนี้เองก็ได้มีลูกค้าชาวต่างชาติมาติดต่อซื้อขายแฟรนไชส์ แต่ทางแบรนด์ยังอยู่ในขั้นเตรียมการยังไม่ได้เปิดขาย โดยจะมีประเทศจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะขยายต่อไปในอนาคต
“อยากให้ลูกค้ามั่นใจว่าขนมครกของเรา เราควบคุมคุณภาพอย่างดี วัตถุดิบที่ดีมากๆ แน่นอน เรามีการตรวจสอบสินค้าและบริการ เรามีการเทรนพนักงาน ก่อนที่จะส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าจะต้องมีการตรวจสอบสินค้าทั้งหมด ถ้าไม่ผ่านการตรวจทางร้านจะไม่ส่งมอบให้กับลูกค้า รวมถึงถ้าหากเกิดข้อผิดพลาดลูกค้าทุกคนสามารถติดต่อเรามาได้ทุกช่องทาง แล้วทางเราจะบริหารจัดการในส่วนที่ผิดพลาดให้อย่างดี ก็จะมีทีมแอดมินคอยดูแลตลอดอยู่แล้ว”
อย่างไรก็ตามในอนาคตจะมีไลน์ผลิตขนมไทยตัวใหม่เพิ่มขึ้นมา ซึ่งจะเป็นขนมไทยในสไตล์ฟิวชั่นเช่นเดียวกัน โดยจะได้เห็นกันในช่วงเดือนเมษายนปีนี้เป็นต้นไป
ติดต่อเพิ่มเติม
Facebook : ลงกา ขนมไทยสไตล์ฟิวชั่น
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด* * *