xs
xsm
sm
md
lg

ส่งออกปี 64 พุ่ง 17.1% โตทะลุเป้ากว่า 4 เท่า คาดปี 65 บวกต่อ 3-4%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“จุรินทร์” เผยการส่งออก ธ.ค. 64 ยังโตต่อเนื่อง มีมูลค่า 24,930.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 24.2% ทำให้ยอดรวมทั้งปี 64 มีมูลค่า 271,173.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.1% เกินเป้าหมายกว่า 4 เท่าตัว คาดปี 65 ยังขยายตัวต่อ ประเมินบวก 3-4%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือน ธ.ค. 2565 มีมูลค่า 24,930.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 24.2% คิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 810,712 ล้านบาท การนำเข้ามีมูลค่า 25,284.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 33.4% ขาดดุลการค้า 354.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และภาพรวมทั้งปี 2564 (ม.ค.-ธ.ค.) มีมูลค่า 271,173.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.1% เป็นบวกเกินไปกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4% และเกินไปกว่าเป้าหมายที่ประเมินช่วงหลังที่ 15-16% โดยคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 8,542,103 ล้านบาท การนำเข้ามูลค่า 267,600.3 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.8% เกินดุลการค้า มูลค่า 3,573.2 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนทำให้การส่งออกปี 2564 ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ประกอบด้วย 1. การทำงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับภาคเอกชนในรูป กรอ.พาณิชย์ ที่ลงไปแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที และทีมเซลส์แมนจังหวัด ทีมเซลส์แมนประเทศ จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการขายของกระทรวงพาณิชย์ในรูป OBM (Online Business Matching) รวมทั้งการเร่งรัดการเจาะตลาดเมืองรองในรูป Mini-FTA และมาตรการทางการบริหารจัดการผลไม้เชิงรุกที่แก้ปัญหากำหนดมาตรการตั้งแต่เริ่มต้นขณะที่ผลไม้ยังไม่ออก ทำให้ปัญหาอุปสรรคในการส่งออกสามารถลดน้อยและเดินหน้าได้

2. เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง 3. ภาคการผลิตทั่วโลกขยายตัวในปี 2564 ดูได้จากบัญชี PMI (Global Manufacturing PMI หรือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก) ที่เกินกว่า 50 ถึง 18 เดือนต่อเนื่อง 4. ค่าเงินบาทยังไม่แข็งค่า ทำให้สามารถแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งในตลาดต่างประเทศได้ และ 5. ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งมี 2 ด้าน คือ ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็เป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ตัวเลขการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีมูลค่าเพิ่มขึ้น


นายจุรินทร์กล่าวว่า การส่งออกในปี 2565 มีความเป็นไปได้ที่จะยังเป็นบวกต่อไป คาดการณ์ว่าจะบวก 3-4% โดยมีมูลค่ารวมทั้งปีคิดเป็น 270,000-282,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 9.08-9.16 ล้านล้านบาท มีปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนประกอบด้วย 1. การขยายตัวของเศรษฐกิจและการนำเข้าของประเทศคู่ค้าสำคัญขยายตัว 2. ค่าเงินบาทยังอยู่ในระดับที่เอื้อต่อการส่งออก 3. คาดว่าปริมาณตู้คอนเทนเนอร์จะเพิ่มขึ้นและเข้าสู่ความสมดุลได้ในช่วงกลางปีนี้ถึงปลายปี 4. การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ทำให้ตลาดโลกมีความต้องการสินค้าไอที อุปกรณ์อัจฉริยะที่ไทยเป็นผู้ส่งออก 5. คาดว่าความรุนแรงของโควิด-19 จะลดน้อยลง ทำให้อุปสรรคลดลง 6. ตั้งเป้าว่าการมีผลบังคับใช้ของ RCEP ที่เริ่มต้น 1 ม.ค. 2565 จะมีส่วนช่วยส่งเสริมตัวเลขการส่งออกของไทยไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 14 ประเทศได้มากขึ้น คล่องตัวขึ้น และสะดวกขึ้น เพราะหลายตัวภาษีเป็น 0% และกระทรวงพาณิชย์เตรียมการล่วงหน้าพร้อมให้บริการใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเอกสารสำคัญต่างๆ ที่จะนำประโยชน์จากข้อตกลง RCEP มาใช้กับผู้ส่งออกของไทย

ทั้งนี้ สินค้าที่กระทรวงพาณิชย์จะให้ความสำคัญในการส่งเสริมและผลักดัน นอกเหนือจากสินค้าที่เป็นดาวรุ่งเดิม ทั้งเกษตร ผลไม้ ยาและเวชภัณฑ์ น้ำตาลทราย อาหารสัตว์เลี้ยง ยานยนต์ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อัญมณี คอมพิวเตอร์ เครื่องปรับอากาศ อาหารอนาคต ไลฟ์สไตล์ สมุนไพร และสินค้าในกลุ่ม BCG จะให้ความสำคัญต่อการสร้างรายได้จาก Soft Power โดยจะมุ่งสินค้าและบริการดิจิทัลคอนเทนท์ เอนิเมชัน ภาพยนตร์และอื่นๆ ซึ่งทำรายได้เข้าประเทศในระดับหนึ่งแล้ว แต่ในปี 2565 จะสนับสนุนเข้มข้นมากขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น