xs
xsm
sm
md
lg

“จุรินทร์” นำพาณิชย์ผนึกเอกชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตโควิด-19

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“จุรินทร์” โชว์วิสัยทัศน์นำพาณิชย์ผนึกกำลังภาคเอกชนดันเศรษฐกิจไทยฝ่าวิกฤตโควิด-19 พร้อมเปิดแผนทำงาน เดินหน้าประกันรายได้ ขับเคลื่อนส่งออก การค้าชายแดน ดูแลราคาสินค้า เตรียมการใช้ประโยชน์ RCEP

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Connect ธุรกิจไทย พาณิชย์ยุคใหม่ เชื่อมไทยเชื่อมโลก” ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 ที่ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ว่า ขอบคุณความร่วมมือของหอการค้าทั่วทั้งประเทศและสมาชิกทั่วทั้งประเทศ 2 ปีที่ผ่านมาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนเรากำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ทั้งทีมเซลส์แมนจังหวัดและเซลส์แมนประเทศ โดยยึดหลักในการทำงานร่วมกันอย่างน้อย 2 ข้อ คือ 1. เอกชนเป็นกลไกที่มีความสำคัญยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าของประเทศ ภาครัฐเป็นผู้ช่วยสนับสนุนในการทำงานของเอกชน ภายใต้หลักการรัฐหนุนเอกชนนำ เอกชนถือเป็นกองหน้ามีหน้าที่ทำประตู การนำรายได้เข้าประเทศ ส่วนภาครัฐให้การสนับสนุนเป็นกองหลังส่งลูกให้เอกชนบุกยิงประตูและภาครัฐจะต้องไม่เป็นอุปสรรค กฎเกณฑ์กติกาต้องปรับปรุงแก้ไข เพราะเป็นอุปสรรคในการบุกยิงทำประตูของเอกชน ให้เอกชนทำงานคล่องตัวขึ้นและเป็นสากล เราจะต้องดูแลทุกฝ่ายทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำอย่างเป็นธรรม สร้างดุลยภาพให้อยู่ร่วมกันได้ ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งครอบครัว สังคม ชุมชนและประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้ เป็นหัวใจสำคัญในการทำงานให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่าง win-win ถือว่าให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

สำหรับปี 3 กรอ.พาณิชย์ หรือคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์นี้ต้องเดินหน้าต่อไปด้วยความเข้มข้น โดย 2 ปีที่ผ่านมาสามารถแก้ไขปัญหาในรูปการลงมือปฏิบัติจริง มุ่งผลสำเร็จจริง โดยเอกชนทุกภาคส่วนนำปัญหาที่เอกชนแก้ด้วยตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยกระทรวงพาณิชย์และภาครัฐมาช่วยดูแลซึ่งตนป็นหัวโต๊ะในที่ประชุมแก้ทีละข้อ ถ้าไม่จบขึ้นทะเบียนการบ้านไว้ทำให้ 2 ปีที่ผ่านมาแก้ไขปัญหาได้จำนวนมาก ตอนนี้คิดว่าเรามาถึงจุดที่โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่ยังนอนใจไม่ได้ สิ่งที่ต้องจับมือกันคิดร่วมกันต้องจับมือใกล้ชิดทั้งภาครัฐ เอกชน

"เราต้องนำเศรษฐกิจฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปให้ได้ ไม่ใช่รอให้โควิด-19 เป็นศูนย์แล้วเริ่มนับหนึ่ง เชื่อว่าพวกเราทำได้เพราะประเทศไทยช่วงที่ผ่านมาไม่ฝากชะตาไว้กับเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว การท่องเที่ยวอย่างเดียวหรือการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม หรือการส่งออกเท่านั้น เมื่อไม่มีการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ แต่เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนได้เพราะยังมีการเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรม และการส่งออกเป็นฐาน สิ่งเหล่านี้ทำให้ตนมั่นใจว่าเราทำได้และสามารถทำต่อไปได้ แต่มีบางพื้นที่ที่ฝากเศรษฐกิจกับบางสาขามาก จนขาดความสมดุล เช่น ท่องเที่ยวอย่างเดียว พอไม่มีการท่องเที่ยว เช่น พัทยา ภูเก็ต ต้องกลับมาคิดเรื่องนี้อย่างจริงจังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผสมผสานต่อไป" นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์กล่าวว่า สำหรับกระทรวงพาณิชย์จากนี้ไปจะให้ความสำคัญและขับเคลื่อน คือ เรื่องที่ 1 ประกันรายได้ ข้าว มัน ยาง ปาล์มและข้าวโพด ช่วยเกษตรกรอย่างน้อย 8,000,000 ครัวเรือน ให้เป็นฐานวัตถุดิบ เชื่อมการผลิต แปรรูปและการส่งออก เพื่อบรรลุเป้าหมายเชื่อมไทยเชื่อมโลก และไม่ได้ทำให้เกษตรกรอ่อนแอแต่ทำให้เกษตรกรมีหลักประกันในเรื่องของการผลิตพืชผลทางการเกษตร ที่สำคัญประกันรายได้ไม่เหมือนนโยบายอื่นที่ล้มเหลว มีการทุจริตคอร์รัปชัน เพราะประกันรายได้ไม่ใช่การแทรกแซงตลาด ราคาในตลาดเหมือนเดิม แต่มีเงินส่วนต่างเติมให้เกษตรกรให้ยังชีพอยู่ได้ก้อนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีการบิดเบือนกลไก ซึ่งไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่ดูแลเกษตรกร

เรื่องที่ 2 การเร่งรัดการส่งออกจะเป็นหัวใจสำคัญ 2 ปีที่ผ่านมาตนได้รับความร่วมมือดีมาก จับมือแก้ปัญหาเดินหน้าฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน 9 เดือนแรก เพิ่ม 15.5% จากตั้งไว้เพียง 4% นำเงินเข้าประเทศรวมกัน 6.2 ล้านล้านบาท และเดือนตุลาคมคาดว่าบวกไม่น้อยกว่า 15% ซึ่งทั้งปีคาดว่าเราจะได้เห็นตัวเลขบวก 2 หลักแน่นอน ที่สำคัญเรามีตลาดใหม่เกิดขึ้น เช่น อินเดียตะวันออกกลาง รัสเซีย ละตินอเมริกาหรือกลุ่มประเทศอื่นๆ เพราะการทำงานมีความเข้มแข็งโดยเฉพาะทีมเซลส์แมนประเทศ และเดินหน้าตลาดใหม่ช่วยกันต่อไปนอกจากรักษาตลาดเดิม ที่สำคัญ ตลาดเก่าที่สูญเสียไปต้องเอากลับคืน เช่น ตลาดข้าวอิรัก ในช่วงจำนำข้าวส่งข้าวไม่ได้คุณภาพ ทำให้อิรักไม่รับซื้อข้าวเรา ตอนนี้อาศัยความสามารถของภาคเอกชนบุกตลาดเข้าไปช่วยขายข้าว

เรื่องที่ 3 การค้าชายแดน ที่ผ่านมาน่าพอใจ 9 เดือนแรกเพิ่ม 38% ทำรายได้เข้าประเทศ 778,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญช่วยคนตัวเล็ก ภาค SMEs และ Micro SMEs ของเราสามารถค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านทำรายได้เข้าประเทศได้ เรามีด่านทั่วประเทศ 97 ด่าน เปิดแล้ว 46 ด่าน 2-3 วันที่ผ่านมาเปิดอีก 2 ด่าน คือด่านตากใบ กับบูเก๊ะตา จ.นราธิวาส จะช่วยให้การส่งออกไปมาเลเซียดีขึ้นต่อไปในอนาคต เหลือด่านท่าเส้น จังหวัดตราด บ้านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว ด่านปากแซงที่จังหวัดอุบลราชธานี เจรจาถึงขั้นขอเปิดด่านแล้ว ซึ่งตนช่วยจัดการบริหารงบทำทางลาดไปต่อจากถนน ลงท่าเรือขนของข้ามแม่น้ำโขง

เรื่องที่ 4 การควบคุมราคาสินค้า 10 เดือนที่ผ่านมาเงินเฟ้อเพิ่ม 1% หมายความว่าปกติยังมีเสถียรภาพ ซึ่งปี 64 คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่ม 0.8-1.2% และปีหน้าคาดการณ์ว่าจะเพิ่ม 0.7-1.2% กระทรวงพาณิชย์จะมาดูว่าจะกระทบต่อราคาสินค้าของผู้อุปโภคบริโภคในแต่ละรายการสินค้า สุดท้ายตนจะตัดสินก็จะถือหลักว่าสมดุลอยู่ตรงไหน ดูแลทุกฝ่ายทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกโดยใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเชื่อว่าสงครามการค้ายังคงยืดเยื้อต่อไป เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาแม้สีจิ้นผิงกับไบเดนจะเจรจาเรื่องราคาน้ำมัน แต่เราต้องติดตามต่อไปเพราะสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อโลกต่อเรา

“ต้องติดตามเรื่องนี้โดยใกล้ชิดต่อไป เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดจากการนำการเมืองระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจการค้า ทำให้เกิดการแบ่งฝ่าย สุดท้ายนำไปสู่การหาพวกทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้า ประเทศไทยต้องกำหนดท่าทีให้ดีว่าจะยืนอยู่อย่างไร ยืนอยู่อย่างสมดุลระหว่างมหาอำนาจทางการเมืองเศรษฐกิจการค้าโลกอย่างไร และที่เห็นตรงกัน คือ ต้องไม่ยืนอย่างโดดเดี่ยว ต้องจับมือใกล้ชิดกับพันธมิตรของเรา อย่างน้อยที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน และต้องกำหนดท่าทีที่มีความชัดเจนร่วมกัน และวันที่ 22 พ.ย.จะมีการประชุมอาเซียน-จีน ครบรอบความสัมพันธ์ 30 ปี ซึ่งการประชุมนี้จะสะท้อนอะไรหลายอย่าง ซึ่งมีสัญญาณบวกทางอาเซียนดูเหมือนจะได้ข้อสรุปร่วมกันว่าจะพยายามผลักดันให้จีนเข้าไปมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ มุ่งเน้นการส่งเสริมการยับยั้งชั่งใจและการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททะเลจีนใต้โดยสันติ และฝั่งจีนคาดว่าจะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยการใช้ FTA และอันที่สองคือคาดว่าจีนจะฟื้นฟูการเดินทาง กับกลุ่มประเทศอาเซียนเป็นลำดับแรก โอกาสได้นักท่องเที่ยวจากจีนมาอาเซียน และสุดท้ายคาดว่าจีนจะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันกับกลุ่มประเทศอาเซียนต่อไป” นายจุรินทร์กล่าว

เรื่องสุดท้าย เร่งติดตามกติกา RCEP คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค คาดว่าต้นปีหน้าจะบังคับใช้ เพราะให้สัตยาบันครบตามเงื่อนไขแล้ว และการประชุม WTO ที่จะมาถึงในช่วงต้นเดือนธันวาคม โดยประเด็นอีคอมเมิร์ซเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ตนเคยเสนอเรื่องอีคอมเมิร์ซในการประชุม APEC ไปแล้วครั้งหนึ่ง ว่าข้อตกลงกติกาเรื่องอีคอมเมิร์ซจะต้องเน้น 1)เรื่องความโปร่งใส 2) ต้องเป็นธรรมทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา และ 3) ต้องคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้ผู้บริโภคเป็นเหยื่อของอีคอมเมิร์ซ






กำลังโหลดความคิดเห็น