xs
xsm
sm
md
lg

อุตสาหกรรมยานยนต์สะเทือน ปัญหาเรื่อง ‘ชิพหาย’ บานปลายกว่าที่คิด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ปัญหาเรื่องการขาดแคลนชิพ หรือชิ้นส่วนจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อนำมาใช้ในการประกอบรถยนต์นั้น ดูเหมือนว่าจะบานปลายและก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างกว่าที่คาดคิดเอาไว้เยอะมาก และมีการคาดการณ์ว่าโลกของอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุคนี้จะต้องอยู่ร่วมกับปัญหานี้ต่อไปอย่างน้อยก็อีก 2-3 ปีเลยทีเดียว

ปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์ในปัจจุบันมีการใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีส่วนประกอบของชิพและเซมิคอนดักเตอร์ค่อนข้างมากและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามความทันสมัยของเทคโนโลยีที่ถูกติดตั้งเข้าไป ดังนั้น หลังจากการเกิดโควิด-19 เมื่อปีที่แล้วและทำให้ดีมานด์ในด้านการใช้ชิ้นส่วนนี้ของอุตสาหกรรมยานยนต์ลดลงอย่างมากจนทำให้ผู้ผลิตต้องเทสินค้าของตัวเองไปที่อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเพราะมีความต้องการของคนในช่วง WFH มากขึ้น ผลคือ เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติ ชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่ดูไม่สำคัญกลับกลายมามีความสำคัญทันที และทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไม่สามารถผลิตรถยนต์ตามที่วางแผนเอาไว้ได้ เพราะเรื่องนี้


7.7 ล้านคัน หรือ 210,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่หายไป

ก่อนหน้านั้นในช่วงเริ่มต้นของวิกฤตมีการประเมินว่าความเสียหายของตลาดจากการขาดแคลนชิพนั้นไม่น่าที่จะรุนแรงมากเท่าไร อย่างมากก็น่าจะทำให้การผลิตรถยนต์ทั่วโลกลดลงไปในระดับ 1-1.5 ล้านคันสำหรับปี 2021 แต่ดูเหมือนว่าเหตุการณ์จะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว

เพราะในระหว่างทาง เหมือนกับถูกกระหน่ำด้วยปัญหา โดยต้องเจอปัญหาอีกหลากหลายกับฐานการผลิตชิปแห่งต่างๆ เช่น เมื่อต้นปี เนื่องจากพายุฤดูหนาวที่เกิดขึ้นในรัฐเท็กซัสได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตชิปในสหรัฐฯ ประกอบกับเหตุไฟไหม้โรงงานที่สำคัญของญี่ปุ่น จนต้องปิดโรงงานเป็นเวลา 1 เดือน ส่วนซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ โค ได้เตือนถึงความไม่สมดุลอย่างรุนแรงในอุตสาหกรรม และไต้หวัน เซมิคอนดัคเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง โค ระบุว่า บริษัทไม่สามารถผลิตชิปได้ทันกับความต้องการ แม้ว่าโรงงานจะมีกำลังผลิตมากกว่า 100% ก็ตาม

ผลคือ ทาง AlixPartners ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ จำต้องปรับการคาดการณ์เรื่องจำนวนการผลิตรถยนต์ลดลงเพราะปัญหานี้มีสูงถึง 7.7 ล้านคัน หรือมากกว่าที่ประเมินเอาไว้เมื่อกลางปีนี้ถึงเท่าตัว จากเดิมที่คาดหมายเอาไว้อยู่ที่ 3.9 ล้านคัน และนั่นหมายความว่าบริษัทรถยนต์จะมีการสูญเสียรายได้ราว 210,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว

‘ดูเหมือนว่าปัญหาที่เรามองเอาไว้ในช่วงครึ่งแรกของปีจะมีสถานการณ์ที่แย่ลงเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เพราะนอกจากปัญหาในเรื่องของไฟไหม้และภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว เรายังต้องมาเจอเข้ากับการล็อคดาวน์เพราะการระบาดซ้ำของโควิด-19 ในบรรดาประเทศแถบอาเซียนซึ่งหลายแห่ง เช่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของชิพและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นั่นจึงทำให้ปัญหาที่แย่อยู่แล้ว แย่ลงไปอีก’ Dan Hearsch กรรมการผู้จัดการของ AlixPartners กล่าวกับสำนักข่าว CNBC



สงครามยังไม่จบและทำท่ายืดเยื้อ

จากการประเมินของ AlixPartners ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะทำท่าไม่จบง่ายๆ เพราะในปัจจุบัน ตลาดตกอยู่ในสภาพดีมานด์มีมากกว่าซัพพลาย เพราะอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์พกพาทั้งหลาย เช่น แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน หรือแล็ปท็อป ต่างก็ต้องการชิพเพื่อใช้ในการผลิตด้วยเช่นกัน

ทาง Hearsch กล่าวว่า มีการประเมินเอาไว้โดยอ้างอิงจากกำลังการผลิตของผู้ผลิตชิพที่มีอยู่ในปัจจุบัน และความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่หลายๆ ประเทศเริ่มมีการคลายล็อคดาวน์แล้ว ปัญหาเรื่องชิพขาดแคลนน่าจะดำเนินต่อไปอย่างน้อยก็อีก 1 ปี ซึ่งนั่นหมายความว่าในครึ่งหลังของปี 2565 เราก็ยังจะต้องเจอเรื่องลักษณะนี้อีกต่อไป

‘เป็นไปได้ว่าปัญหานี้จะไม่มีทางจบง่ายๆ และสามารถแก้ไขด้วยวิธีเพียงข้ามคืน เพราะอย่าลืมว่า ในปี 2562-2563 สภาพที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของขั้วอุตสาหกรรมที่มีต่อความต้องการของชิพ เพราะจากเดิมลูค้ารายใหญ่คือ อุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ในช่วงนั้นหลังโรงงานถูกสั่งปิดและความต้องการซื้อรถยนต์ลดลง 80% ของการผลิตชิพได้ถูกเทไปที่อุตสาหกรรมอิเล็กทอรนิกส์แทน’ Hearsch กล่าว

อย่าลืมว่า มีการประเมินว่าในรถยนต์ 1 คันที่ผลิตขายในตอนนี้ มีการใช้ชิพ และชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์อยู่ราว ๆ 1,400-1,500 ชิ้นต่อคัน และบางคันอาจจะสูงถึง 3,000 ชิ้นต่อคันเนื่องมาจากการติดตั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการปรับเปลี่ยนรถยนต์ให้มีลักษณะที่พึ่งพาชิ้นส่วนที่เป็นสมองกลทางอิเล็กทรอนิกส์มากกว่าสมัยก่อน

TSMC บริษัทผู้ผลิตชิพรายใหญ่สุดของโลกสัญชาติไต้หวัน เผยว่าตลอดปี 2563 ราว 80% ของชิพที่ผลิตได้ ส่งไปให้โรงงานผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทิ้งห่างชิพในรถยนต์ที่มีสัดส่วนเพียง 3% อย่างไม่เห็นฝุ่น แม้ไตรมาส 4 ปีเดียวกันส่งให้ฝ่ายหลังเพิ่มขึ้นพอสมควรแต่ก็ยังคงเป็นสัดส่วนที่น้อยมากอยู่ดี

นั่นเท่ากับว่าถึงจะมีความต้องการ แต่ฝ่ายผลิตก็ไม่สามารถซัพพอร์ตให้ได้อยู่ดี


เตรียมเรียกแต่ละฝ่ายเข้าประชุมด่วน

ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก มีการยืนยันว่าประเด็นนี้กำลังกลายเป็นวาระแห่งชาติ และเตรียมเรียกแต่ละฝ่ายเข้ามาถกด่วนถึงทางออกของปัญหา โดยมีการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบข่าวกล่าวว่า ทำเนียบขาวจะจัดการประชุมสุดยอดครั้งที่สองในรอบห้าเดือนกับผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์และผู้ซื้อในส่วนนี้เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับขอบเขตของวิกฤต โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงจาก Intel, General Motors, Ford, Apple, Microsoft, Samsung และบริษัทอื่นอีก 12 แห่ง

แน่นอนว่าการประชุมครั้งนี้ถูกมองว่าไม่น่าจะจบลงด้วยดีสักเท่าไร เพราะขณะที่บริษัทรถยนต์ต่างเรียกร้องให้ทางผู้ผลิตชิพและเซมิคอนดักเตอร์ปันส่วนแบ่งของการผลิตมาที่อุตสาหกรรมรถยนต์มากขึ้นกว่าที่เคยเป็นในช่วงปีที่แล้ว แต่ทว่าทางอีกฝั่งซึ่งก็คืออุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายต่างก็มีทีท่าว่าจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ขณะที่ AlixPartners ระบุว่าปัญหานี้จะจบลงช่วงครึ่งหลังของปี 2565 แต่ทว่า Intel มองว่าน่าจะยืดเยื้อและทุกอย่างคลี่คลายอย่างช้าก็ในปี 2566 โน่นเลยทีเดียว

มาถึงตรงนี้ปัญหาของชิ้นส่วนขนาดเล็กที่มีมูลค่าไม่กี่เหรียญกำลังก่อให้เกิดวิกฤตอย่างหนักกับอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างแท้จริง และดูเหมือนว่า เรื่องไม่น่าที่จะจบลงอย่างง่ายๆ เพราะสภาพที่เกิดขึ้นนั้น ตลาดตกเป็นของผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ


กำลังโหลดความคิดเห็น