การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของภาครัฐได้สร้างความหวังให้แก่ภาคธุรกิจ ร้านค้าต่างๆ ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากได้รับผลกระทบในช่วงที่ผ่านมาจนมีผลต่อรายได้หดหายมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ละธุรกิจจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) หนึ่งในบริษัทผู้ค้าน้ำมันที่มีธุรกิจครบวงจรตั้งแต่สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน (เทรดดิ้ง) ธุรกิจการตลาด ธุรกิจพลังงานไฟฟ้าสีเขียว และธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ทำรายได้แต่ละปีกว่า 1 แสนล้านบาท
ล่าสุด บางจากได้กำหนดภารกิจ (Mission) เพื่อสร้างความเข้มแข็งสู่การก้าวเป็นองค์กร 100 ปี (บางจาก 100X) โดยปรับพอร์ตการลงทุนธุรกิจมุ่งสู่พลังงานสีเขียวเป็นส่วนใหญ่ โดยมี บมจ.บีซีพีจี และ บมจ.บีบีจีไอเป็นหัวหอกในการลงทุน รวมทั้งแสวงหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ขณะเดียวกันวางแผนการดำเนินงานในช่วงระยะกลางและระยะยาว (ปี 2569) เข้าสู่ 4 ธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้โตอย่างยั่งยืนในอนาคต คือ 1. LNG supply chain 2. Lithium supply chain 3. Green Power supply chain และ 4. Bio/Pharmaceutical supply chain ขณะที่บทบาทธุรกิจการตลาดและโรงกลั่นจะค่อยๆ ลดลง
กำหนดกลยุทธ์ที่จะนำมาใช้ดำเนินธุรกิจเพื่อให้ภารกิจประสบความสำเร็จในช่วง 5 ปีนี้ คือ MAHDI ประกอบด้วย M : Merger & Partnership เป็นการหาพาร์ตเนอร์ที่จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสู่ธุรกิจที่ไม่มีความชำนาญ โดยจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วจากพันธมิตรทำให้บริษัทโตแบบ Inorganic Growth
A : Accelerate Non-Petroleum Portfolio การตอบรับนโยบายของโลกในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) มากขึ้น เช่น Winnonie รวมถึงการจัดสรรการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ อย่างเหมาะสม
H : High Value Added Products and Services เน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีมูลค่าเพิ่มเพื่อให้พอร์ตโฟลิโอของกลุ่มบริษัทมีผลตอบแทนการลงทุนที่สูง
DI : Digitization and People เน้นช่องทางธุรกิจที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น ให้ลูกค้ามีประสบการณ์ใหม่และช่วยลดต้นทุน ตามแนวคิดบางจาก 100X
ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 3/2564 บางจากได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้ยอดขายน้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมันปรับลดลงพอสมควรในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ก.ค.-ส.ค. 64) แต่เมื่อรัฐคลายมาตรการล็อกดาวน์เชื่อว่ายอดการใช้น้ำมันจะเด้งเพิ่มขึ้นแรง
เมื่อเร็วๆ นี้ บางจากได้ให้ผู้ประกอบการร้านค้า ร้านอาหารแบรนด์ชั้นนำที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ให้มาเปิดขายในรูปแบบ “Food Truck” ภายในสถานีบริการน้ำมันบางจาก โดยเปิดไปแล้ว 2 สาขาที่ถนนศรีนครินทร์ และสาขาถนนกาญจนาภิเษก กม.41 พบว่าได้รับการตอบรับด้วยดีจากลูกค้าและร้านอาหาร คาดว่าสิ้นปีนี้จะเปิดเพิ่มเป็น 15 สาขาในกรุงเทพฯ
สำหรับแบรนด์ชั้นนำที่มาเปิดให้บริการในรูปแบบ Grab & Go ได้แก่ A&W, Bar B Q Plaza, Crop-pul, Daily Queen, Ka nom, อโณไทย by Arno’s รวมทั้งอาหารจานเด็ด ผัดไทยไฟทะลุ โดยแอนดี้ หยาง เชฟระดับมิชลินชาวไทยคนแรก ฯลฯ ตลอดจนสินค้าจาก B2S และ Jaymart ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าที่นอกจากจะเข้ามาเติมน้ำมัน ยังสามารถเลือกซื้ออาหารและสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก รวดเร็วในที่เดียว ทั้งยังได้มาตรฐานด้านความสะอาดและคุณภาพดี เป็นรูปแบบธุรกิจที่ตอบรับชีวิตยุค New Normal ที่ต้องมีการเว้นระยะห่าง (Social Distancing) เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19
จุดแข็งของธุรกิจรูปแบบ Truck นั้น ผู้ประกอบการสามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็วเพราะมีความพร้อมด้านสถานที่และสิ่งอำนวยต่างๆ สามารถเลือกพื้นที่ให้เหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เพราะบางจากมีสาขาสถานีบริการน้ำมันครอบคลุมถนนสายหลักทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ทำให้รูปแบบธุรกิจนี้ได้รับความสนใจและตอบรับเป็นอย่างดี
ขณะที่แนวคิด Greenovative Destination เพื่อให้สถานีบริการน้ำมันบางจากเป็นจุดหมายปลายทางที่จะเติมเต็มความต้องการของลูกค้ามากกว่าผลิตภัณฑ์น้ำมันคุณภาพสูง มีการออกแบบสถานีบริการน้ำมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Unique Design Service Station) เพิ่มเป็น 61 แห่งในสิ้นปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 39 แห่งเพื่อดึงดูดผู้เดินทางให้แวะเติมน้ำมัน และถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึก ฉีกหนีคู่แข่งแต่ยังตอบโจทย์วิถีชีวิตที่ปรับเปลี่ยนไปของผู้บริโภค มีผลช่วยกระตุ้นให้ยอดขายน้ำมันและธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจการตลาดน้ำมันผ่านสถานีบริการในไตรมาส 4 นี้จะกลับสู่ปกติ
ณ สิ้น มิ.ย. 2564 บางจากมีสถานีบริการน้ำมันรวม 1,247 แห่ง แบ่งเป็นสถานีบริการแบบมาตรฐาน 636 แห่ง และสถานีบริการชุมชนหรือปั๊มสหกรณ์ 611 แห่ง คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 1,300 แห่ง มีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกมากกว่า 15% คิดเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ
ปี 64 รายได้ทุบสถิติสูงสุด
ขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกทรงตัวในระดับสูง ทำให้ธุรกิจอื่นๆ มีผลประกอบการออกมาดี มั่นใจว่าปี 2564 เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของบางจาก น่าจะมีรายได้ทุบสถิติสูงสุด จากปี 2561 บริษัทมีรายได้สูงสุดอยู่ที่ 1.93 แสนล้านบาท ขณะที่ 6 เดือนแรกปีนี้บางจากมีกำไรสุทธิ 4,048.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 162% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมี EBITDA สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9,006 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 737%
โดยปี 2564 มีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ระดับ 65-75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้บางจากรับรู้รายได้และกำไรจากบริษัท OKEA ที่ดำเนินธุรกิจ E&P ได้เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจเทรดดิ้งของบริษัท BCP Trading Pte. Ltd. (BCPT) ทำรายได้เข้ามาเสริม
ส่วนธุรกิจโรงกลั่น ปัจจุบันได้กลั่นน้ำมันเต็มอัตรา 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยไม่มีการกลั่นน้ำมันอากาศยาน (เจ็ต) แต่หันมาผลิตน้ำมัน UCO (Unconverted Oil) แทน ธุรกิจไฟฟ้าของบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG มีการผลิตไฟฟ้าใน สปป.ลาวเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่อยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งหลังปี 2564 และในช่วงปลายปีนี้โครงการโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 40 เมกะวัตต์ ก็จะแล้วเสร็จทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ พบว่าผลประกอบการของบริษัท OKEA เพิ่มขึ้น เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซธรรมชาติปรับเพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 4 ปีนี้แหล่ง Yme จะเริ่มผลิตน้ำมันดิบเป็นครั้งแรก ทำให้กำลังการผลิตปิโตรเลียมของ OKEA จากเดิม 10,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มเป็น 15,500-16,500 บาร์เรลต่อวัน และเป็น 25,000 บาร์เรลต่อวันใน 2-3 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกัน OKEA มองเห็นโอกาสการทำ M&A แหล่งปิโตรเลียมในแถบทะเลเหนือเพิ่มเติมด้วย
กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพของบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI มีแผนขยายธุรกิจที่นอกเหนือจากการผลิตและจำหน่ายเอทานอล โดยล่าสุดบีบีจีไอได้นำเข้า Astaxanthin Ingredients ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านริ้วรอย บำรุงผิว โดยได้จัดจำหน่ายในประเทศไทยภายใต้แบรนด์ B Nature Plus และบริษัท วิน อินกรีเดียนส์ จำกัด (WIN) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบีบีจีไอ กับ Manus Bio Inc. ได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร สำหรับสารให้ความหวาน Neotame เพื่อการจำหน่ายในประเทศไทย และอาเซียน
ลงทุนธุรกิจแบตเตอรี่ป้อนอีวี-โรงไฟฟ้าทดแทน
ชัยวัฒน์กล่าวถึงแผนการลงทุนธุรกิจแบตเตอรี่ว่า บีซีพีจีได้ขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Utility-Scale Energy Storage System) หรือแบตเตอรี่ประเภทวานาเดียม รีดอกซ์โฟลว์ (Vanadium Redox Flow) โดยถือหุ้นในบริษัท VRB Energy Inc. (VRB) นอกจากจะเป็นการขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานแล้ว บีซีพีจียังสามารถนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อสนับสนุนธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนของตนเอง เนื่องจากระบบกักเก็บพลังงานของ VRB เป็นแบตเตอรี่ประเภท Vanadium Redox Flow เหมาะสำหรับใช้เป็นแหล่งกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ต้องการความจุสูงและกักเก็บได้เป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แบตเตอรี่มีความหลากหลายเทคโนโลยี ดังนั้นการลงทุนบางจากจะไม่ทุ่มกับเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง ขณะนี้บางจากอยู่ระหว่างการเจรจาพันธมิตรต่างชาติ 3-4 รายเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจแบตเตอรี่ลิเทียมเพื่อใช้กักเก็บพลังงาน (ESS) ซึ่งบริษัทได้สิทธิ์การซื้อแร่ลิเทียมจำนวน 6 พันตันต่อปีจาก Lithium Americas Corp. (LAC) โดยเหมืองลิเทียมจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในกลางปี 2565 หลังดีเลย์มา 6 เดือนจากผลกระทบโควิด-19 โดยช่วงแรกที่ยังไม่มีการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ บางจากก็จะขายแร่ลิเทียมไปก่อน
ทั้งนี้ แบตเตอรี่ลิเทียมเหมาะสำหรับใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า ขณะที่แบตเตอรี่ที่บีซีพีจีได้ร่วมลงทุนจะเป็นแบตเตอรี่สำหรับใช้กักเก็บพลังงานสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ซึ่ง VRB มีการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวขนาดกำลังผลิต 100-200 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh) ในจีน หากประสบความสำเร็จก็จะลงทุนตั้งโรงงานในไทย โดยวัตถุดิบที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่มาจากผลพลอยได้จากโรงกลั่นน้ำมัน อย่างไรก็ตาม บางจากไม่สนใจเข้าไปลงทุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเหมือนค่ายน้ำมันอื่น
ขณะที่ธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า (EV Chargers) คาดว่าสิ้นปีจะมี 110-120 แห่ง และบริษัทได้ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคติดตั้งเพิ่มเติม 300 แห่งใน 3 ปีข้างหน้า เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้รถในเส้นทางต่างจังหวัด
จับมือ TSG ลุยธุรกิจ LNG
บางจากยังเห็นโอกาสการเข้าสู่ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) โดยบางจากได้ร่วมลงทุนกับบริษัท ไทยสเปเชียล แก็ส จำกัด (TSG) ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายก๊าซสำหรับอุตสาหกรรมมาตรฐานสากล และให้บริการด้านอุปกรณ์ก๊าซแบบครบวงจร จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อบริษัท BTSG ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ LNG คาดว่าจะเปิดตัวได้ในเร็วๆ นี้ โดยบริษัทมองเห็นศักยภาพการเติบโตในอนาคต ซึ่งพบว่าบริษัทพลังงานหลายรายต่อยอดสู่ธุรกิจดังกล่าวแล้ว
รวมทั้งการรุกสู่ธุรกิจยา (Pharmaceutical) โดยบางจากได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนานวัตกรรมและงานบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม เสริมสร้างระบบสุขภาพและความมั่นคงทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ ครอบคลุมด้านงานวิชาการ และการตลาด พร้อมต่อยอดสู่ความร่วมมือในระยะยาว
5 ปีอัดงบลงทุน 8.8 หมื่นล้าน เน้นพลังงานสีเขียว
สำหรับงบลงทุน 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) เดิมกำหนดไว้ที่ 88,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจพลังงานโรงไฟฟ้าสีเขียวของ บมจ.บีซีพีจี คิดเป็นสัดส่วน 73% ของเงินลงทุน ที่เหลือจะเป็นการลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพของ บมจ.บีบีจีไอ 6% ธุรกิจใหม่ (New S-Curve) 6% ที่เหลือเป็นการลงทุนในธุรกิจโรงกลั่น-การค้าน้ำมันและธุรกิจการตลาด แต่ทั้งนี้ งบลงทุนดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นบ้างเพื่อสอดคล้องกับภารกิจที่จะให้บางจากก้าวสู่การเป็นองค์กร 100 ปีมีความสุข 100 เท่า
บางจากวางเป้าหมายในปี 2569 จะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 4 เท่า หรือราว 4.4 หมื่นล้านบาท โดยมาจากธุรกิจสีเขียวประมาณ 43% ซึ่งสัดส่วน EBITDA มาจากธุรกิจสีเขียวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยบางจากวางเป้าหมายที่จะปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (carbon neutral) ให้เร็วที่สุดภายในปี 2573
จากเป้าหมายการดำเนินงานที่เน้นการลงทุนในธุรกิจสีเขียวผ่านบริษัทลูกอย่างบีซีพีจี บีบีจีไอ และจะมีบริษัทใหม่เพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ดังนั้นธุรกิจหลักที่เคยสร้างรายได้และกำไรทั้งโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจตลาดน้ำมันจะค่อยๆ ลดบทบาทลง แต่จะมารับรู้รายได้จากธุรกิจสีเขียวสอดรับเมกะเทรนด์โลก