xs
xsm
sm
md
lg

บางจากลั่นปีนี้โกยรายได้ทำนิวไฮ เหตุราคาน้ำมันขึ้น-ธุรกิจเทรดดิ้งดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



บางจากมั่นใจปีนี้มีรายได้ทุบสถิติสูงสุดอีกครั้งจากปี 2561 มีรายได้รวม 1.9 แสนล้านบาท เหตุราคาน้ำมันดิบสูงหนุนรับรู้รายได้จาก OKEA พุ่ง ธุรกิจเทรดดิ้งไปได้สวย และรัฐผ่อนคลายล็อกดาวน์ส่งผลการใช้น้ำมันผ่านปั๊มดีขึ้น แย้มวางกลยุทธ์ M-A-H-Di มาใช้ในช่วง 2-3 ปีนี้ และเน้นลงทุนธุรกิจสีเขียว

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทมั่นใจมีรายได้ทำสถิติสูงสุด (นิวไฮ) อีกครั้งจากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 1.93 แสนล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันในปีนี้ทรงตัวอยู่ระดับ 65-75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเป็นราคาใกล้เคียงปี 2561 บริษัทยังรับรู้รายได้จากธุรกิจเทรดดิ้ง และบริษัท OKEA ซึ่งดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) ในนอร์เวย์ ที่มีผลประกอบการดีขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นหลังรัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ทำให้การขายน้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมันดีขึ้น

รวมทั้งบางจากก็มียอดขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยทุกธุรกิจของบริษัทในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันโรงกลั่นบางจากกลั่นน้ำมันได้เต็มอัตรา 1.2 แสนบาร์เรลต่อวัน โดยไม่มีการกลั่นน้ำมันอากาศยาน (เจ็ต) แต่หันมาผลิตน้ำมัน UCO (Unconverted Oil) แทน ทำให้มีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจเทรดดิ้งของบริษัท BCP Trading Pte. Ltd. (BCPT) ก็มียอดขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ส่วนธุรกิจไฟฟ้าของบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG มีการผลิตไฟฟ้าใน สปป.ลาวเพิ่มขึ้นจากปริมาณน้ำฝนที่อยู่ในระดับสูงในช่วงครึ่งหลังปี 2564 และในช่วงปลายปีนี้โครงการโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่นจำนวน 2 โครงการ กำลังการผลิตรวม 40 เมกะวัตต์ ก็จะแล้วเสร็จทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บีซีพีจียังขยายการลงทุนไปยังธุรกิจผลิตและจำหน่ายระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Utility-Scale Energy Storage System) หรือแบตเตอรี่ประเภทวานาเดียมรีดอกซ์โฟลว์ (Vanadium Redox Flow) ด้วย

ส่วนกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ พบว่าผลประกอบการของบริษัท OKEA เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซธรรมชาติปรับเพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 4 นี้แหล่ง Yme จะเริ่มผลิตน้ำมันดิบเป็นครั้งแรก ทำให้กำลังการผลิตของ OKEA จากเดิม 10,000 บาร์เรลต่อวัน เพิ่มเป็น 15,500-16,500 บาร์เรลต่อวัน

สำหรับกลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพของบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI มีแผนขยายธุรกิจที่นอกเหนือจากการผลิตและจำหน่ายเอทานอล โดยล่าสุดบีบีจีไอได้นำเข้า Astaxanthin Ingredients ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงในการต่อต้านริ้วรอย  บำรุงผิว โดยได้จัดจำหน่ายในประเทศไทยภายใต้แบรนด์ B Nature Plus และบริษัท วิน อินกรีเดียนส์ จำกัด (WIN) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบีบีจีไอกับ Manus Bio Inc. ได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับอาหาร (แบบ อ.18) สำหรับสารให้ความหวาน Neotame เพื่อการจำหน่ายในประเทศไทยและอาเซียน

นายชัยวัฒน์กล่าวต่อไปว่า บริษัทได้ทำแผนยุทธศาสตร์ในการก้าวสู่การเป็นองค์กร 100 ปี (บางจาก 100X) โดยวางเป้าหมายในระยะกลางและระยะยาวว่าจะเน้นการลงทุนในธุรกิจสีเขียวมากขึ้น โดยมีบีซีพีจีและบีบีจีไอเป็นหัวหอกในการลงทุน รวมทั้งแสวงหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจใหม่ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม โดยวางเป้าหมายในปี 2568 มีสัดส่วนกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) มาจากธุรกิจสีเขียวมากกว่า 50%

พร้อมตั้งงบลงทุน 5 ปีข้างหน้า (2565-2569) อยู่ที่ 88,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในธุรกิจพลังงานโรงไฟฟ้าสีเขียวของ บมจ.บีซีพีจี คิดเป็นสัดส่วน 73% ของเงินลงทุนทั้งหมด ที่เหลือจะเป็นการลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพของ บมจ.บีบีจีไอ 6% ธุรกิจใหม่ (New S-Curve) 6% และธุรกิจโรงกลั่น-การค้าน้ำมัน และธุรกิจการตลาด

นอกจากนี้ บริษัทวางกลยุทธ์เหนือวิกฤต โดยใช้กลยุทธ์ M-A-H-Di ในช่วง 2-3 ปีนี้ โดยให้ความสำคัญ 4 เรื่องหลัก คือ การควบรวมกับการร่วมเป็นพันธมิตร (Merger&Partnership) เพื่อต่อยอดธุรกิจ, เร่งขยายลงทุนสู่ธุรกิจพลังงานที่ไม่ใช่ปิโตรเลียม เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีวี, เน้นลงทุนในธุรกิจที่มีมูลค่าและมาร์จิ้นสูง และพัฒนาองค์กรเป็น Digitization

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาพันธมิตรต่างชาติ 3-4 รายเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจแบตเตอรี่เพื่อกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System : ESS) โดยจะไม่ทุ่มกับเทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่ง ซึ่งบริษัทได้สิทธิการซื้อลิเทียมจำนวน 6 พันตัน/ปีจาก Lithium Americas Corp. (LAC) คาดว่าเหมืองลิเทียมจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในกลางปี 2565 หลังดีเลย์มา 6 เดือนจากผลกระทบโควิด-19 บริษัทมองโอกาสที่จะผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ในยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บีซีพีจีก็ได้ร่วมลงทุนแบตเตอรี่ประเภทวานาเดียมรีดอกซ์โฟลว์ มีการตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าว ขนาดกำลังผลิต 100-200 เมกะวัตต์ชั่วโมง (MWh)ในจีน ซึ่งแบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะสำหรับใช้ในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ส่วนการตัดสินใจลงทุนตั้งโรงแบตเตอรี่ดังกล่าวในไทยนั้นคงต้องรอดูนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐด้วย ขณะเดียวกันบริษัทไม่สนใจผลิตรถอีวี
กำลังโหลดความคิดเห็น