xs
xsm
sm
md
lg

วิสัยทัศน์สู่ความสำเร็จของ ‘Warrix’ : วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:

ก้าวสู่การเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อฟุตบอลทีมชาติไทยอย่างต่อเนื่องยาวนานนับจากปี 2560-2572 เซ็นสัญญากับสมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทย ต่อเนื่องอีก 5 ปี เจาะตลาดหลายประเทศในอาเซียน ไม่ว่า มาเลเซีย สิงคโปร์ พม่า ลาว อินโดนีเซีย และไปไกลถึงญี่ปุ่น ด้วยวิสัยทัศน์การขยายแบรนด์ ไปสู่ Regional ขณะที่มูลค่าของแบรนด์ Warrix ปัจจุบันอยู่ในระดับไม่น้อยกว่าพันล้านบาท


‘Ibusiness’ สัมภาษณ์พิเศษ วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Warrix ถึงเส้นทางความเป็นมา กระทั่งก้าวสู่ความสำเร็จดังที่กล่าวไว้ข้างต้น อีกทั้งทิศทางหรือเป้าหมายในอนาคตของแบรนด์ หลายสิ่งที่นักธุรกิจผู้นี้ริเริ่มและสร้างขึ้นจึงน่าสนใจยิ่งว่าภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี เขาก้าวมาสู่จุดนี้ได้อย่างไร และก้าวขึ้นมาด้วยปรัชญาการทำธุรกิจเช่นไร

>>> จุดเริ่มต้นของ ‘วอริกซ์’

หากถามถึงความเป็นมาของแบรนด์ ‘วอริกซ์’ ว่าเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร วิศัลย์ตอบว่า “เกิดขึ้นจากตัวผม เดิมทีผมทำยูนิฟอร์มโรงเรียนนานาชาติ ยูนิฟอร์มบริษัท แล้วก็เสื้อพรีเมี่ยม จากนั้น ได้มีโอกาสช่วยเหลือเพื่อนคนหนึ่งที่เขาทำธุรกิจด้านเสื้อกีฬานะครับ ตอนแรกพยายามไปลงทุนร่วมกัน แต่แนวทางไปด้วยกันไม่ได้ ก็เลยแยกกัน เราก็มาทำแบรนด์เสื้อกีฬาของเราเอง

วิศัลย์เล่าว่า แบรนด์วอริกซ์ ค่อย ๆ เริ่มต้นขึ้นในตอนนั้น ซึ่งเดิมทีก็ไม่ได้คิดว่าจะเติบโตอะไรมากนัก เพียงคิดว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจที่เป็นเทรนด์หนึ่งที่เติบโต เนื่องจากถ้าเป็นสิ่งทอแบบรับจ้างผลิตเช่นคนรุ่นก่อนทำ เช่น รับจ้างทำเสื้อให้ไนกี้ หรืออาดิดาส

“แต่ผมมองว่า ถ้าแบบนั้น แบรนด์รายใหม่เกิดยาก เพราะค่าแรงก็แพงขึ้นทุกวัน ปัจจัยการแข่งขันก็สู้ประเทศที่ค่าแรงถูกกว่าไม่ได้ ก่อนมาทำวอริกซ์ ผมก็ทำยูนิฟอร์มของเราเองด้วย แล้วก็มี Innovation ของเรา แต่พอมาจับตลาดเสื้อกีฬา ผมมองว่ามันเป็นโกลบอลเทรนด์ที่เติบโตสำหรับสปอร์ตแวร์ เป็นเรื่องของการทำแบรนด์ ที่ไม่ได้ทำแบบโรงงาน แต่เป็นโกลบอลเทรนด์”

วิศัลย์กล่าวว่า สปอร์ตแวร์ที่เติบโตได้ดี Segment ใหญ่ๆ จะอยู่ที่กีฬาฟุตบอล

“ผมจึงเริ่มทำสปอร์ตแวร์ของวอริกซ์เริ่มกิจการปี 56 ด้วยแบรนด์กีฬาฟุตบอล ในช่วงแรกก็เข้าสู่ฟุตบอลไทยลีก ทำลักษณะ License อีกอย่างที่เป็นจุดเริ่มต้นของวอริกซ์ ที่เป็นความชำนาญของผมคือ ผมชอบศึกษาหาความรู้เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ก็นำ เรื่อง License business มาใช้ เรียกว่าเป็น Game Changer ก็ได้ เรื่องลิขสิทธิ์เสื้อสโมสรฟุตบอล ผมก็ลองใช้เทคนิคใหม่ คือ Marketing License เหมือนที่ยุโรปใช้ก็ประสบความสำเร็จดี ตั้งแต่ทำสองทีมแรก คือ เชียงใหม่กับโคราช แล้วก็ค่อยๆ ขยายไปสิบกว่าจังหวัด ถึง 20 จังหวัด ทำอยู่สามปี ยอดขายก็เติบโตจาก 60 กว่าล้านบาทในปีแรก เป็น 130 กว่าล้านบาท และ 180 กว่าล้านบาทในปีที่สาม เมื่อถึงปีที่สาม เราทำในระดับสโมสรต่างจังหวัดเยอะๆ ใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง สโมสรในจังหวัดใหญ่ๆ อย่างเชียงใหม่ โคราช สุพรรณบุรี อุบลราชธานี อุดรธานี จังหวัดหลักๆ จังหวัดใหญ่ๆ ทำการตลาด กระจายไปสู่ลูกค้าในจังหวัดใหญ่ๆ เหล่านั้น”


วิศัลย์ระบุถึงจังหวะก้าวย่างของแบรนด์ และกล่าวเพิ่มเติมว่า ก้าวสู่การเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อฟุตบอลทีมชาติไทย จากปี 2560-2572 เมื่อทำธุรกิจแบรนด์วอริกซ์เข้าสู่ปีที่สาม ก็เปรียบเสมือน ‘ฟ้าเปิด’ ให้มีการประมูลทำเสื้อสำหรับทีมชาติไทย แบบแฟร์เพลย์เป็นครั้งแรก

“เราก็ไม่คิดว่าเราจะมีโอกาสแบบนี้ เป็นน้องใหม่ในวงการ มูลค่าบริษํท 180 ล้านบาท ขณะที่พี่ๆ ที่เขาถือลิขสิทธิ์อยู่ อย่างแกรนด์สปอร์ต มูลค่าสองพันกว่าล้านบาท มากกว่าเราเป็นสิบเท่า ผมก็พบว่า ตอนนั้น เน้นทำแผนการตลาดว่าจะเข้าประมูลด้วยตัวเลขเท่าไหร่ อย่างไร ซึ่งก็ปรากฏว่า เราประมูลได้ ในปีที่สามที่เราเริ่มกิจการ จำได้ว่าวันที่ประมูลได้ตรงกับวันที่ 9 กันยายน ปี 2559

“การเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เสื้อฟุตบอลทีมชาติไทย เริ่มทำเสื้อให้ทีมชาติไทยเริ่มต้น ปี 2560 นับเป็นจุดเริ่มต้นของวอริกซ์ ที่ทำเสื้อให้ทีมชาติไทยไป 4 ปีนับจากนั้น ตามสัญญาฉบับแรก ยอดขายแบรนด์วอริกซ์เพิ่มเป็น 500 กว่าล้านบาท ก็นับเป็นสามเท่าจากก่อนหน้านี้ แล้วก็เพิ่มเป็น 700 ล้านบาทโดยประมาณ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระทั่งมาเจอสถานการณ์โควิด-19 ในปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันเป็นปี 2564 ก็นับว่าทำเสื้อให้ทีมชาติไทยมา 4 ปีแล้ว”

วิศัลย์กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่ต่อเนื่องกันมา 2 ปี ยอดขายของวอริกซ์ก็ยังทรงๆ อยู่ที่ 700 ล้านบาท

“แล้วเราก็เพิ่งประมูลสัญญาทีมชาติไทยต่อได้อีก 8 ปี ชนะการประมูลและมีการประกาศออกมาเมื่อ 29 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยเริ่มต่อสัญญาอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2564 ต่อเนื่องไปอีก 8 ปี” วิศัลย์ระบุ นั่นหมายความว่า วอริกซ์ทำสัญญาทำเสื้อให้ทีมชาติไทยต่อเนื่องไปถึงปี 2572 นั่นเอง

>>> เจาะตลาดอาเซียน

เมื่อถามว่า ลำดับในการทำสัญญากับประเทศในอาเซียน เริ่มต้นที่ไหนเป็นลำดับแรก วิศัลย์กล่าวว่า “ในอาเซียน ประเทศที่เราออกไปทำการตลาดประเทศแรกคือ มาเลเซีย เริ่มไปทำการตลาดและมีตัวแทนจำหน่ายเข้าสู่มาเลเซีย จากนั้นก็ตามด้วยลาว พม่า สิงคโปร์ ตามลำดับ แล้วก็มีอินโดนีเซีย และญี่ปุ่น ในมาเลเซีย เราเริ่มปี 2559 และเป็นปีที่เริ่มทำสัญญากับลาวด้วย ส่วนสิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ ตามมาในปี 2560-2561 พม่าประมาณปลายปี 2561 ส่วนญี่ปุ่นเราก็เข้าไปเป็นสปอนเซอร์ ปี 2561 เหมือนกันครับ”

หากสงสัยว่า ทีมชาติไทย นอกจากแข่งลีกในประเทศแล้ว ต้องใช้เสื้อผ้าของวอริกซ์ หรือไม่

วิศัลย์ตอบว่า “ทัวร์นาเมนต์ของสมาคมฟุตบอลทั้งหมดใช้เสื้อผ้าของวอริกซ์ ยกเว้นโอลิมปิก ถ้าโอลิมปิกก็จะเป็นสัญญาของแกรนด์ สปอร์ต รวมถึงซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ แต่นอกเหนือไปจากนี้แล้วจะเป็นเสื้อผ้าเราหมด”

วิศัลย์กล่าวว่า ตั้งแต่ทำเสื้อผ้าให้ทีมชาติไทย วอริกซ์ก็ทำเสื้อให้ทีมในต่างจังหวัด น้อยลง ปัจจุบันเหลืออยู่ไม่เกินสิบสโมสร อาทิ บีจี ปทุม, สุพรรณบุรี, หนองบัว พิชญ, ชัยนาท, สงขลา, ระยอง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีฟุตซอลของสุราษฎร์ธานีด้วย

ถามว่า ในอนาคต วอริกซ์คิดจะทำเสื้อผ้าให้กีฬาประเภทอื่นไหม


วิศัลย์ตอบว่า สมาคมบาสเกตบอลแห่งประเทศไทยทำสัญญากับวอริกซ์ตั้งแต่เมื่อต้นปี ดังนั้น สมาคมบาสฯ ก็เริ่มใช้เสื้อวอริกซ์แล้วแล้ว ทัวร์นาเมนต์บาสเกตบอลที่ไม่ใช่โอลิมปิก ก็จะใช้ของวอริกซ์ทั้งหมด ส่วนเสื้อผ้ากีฬาชนิดอื่นที่วอริกซ์เริ่มทำแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปเป็นสปอนเซอร์ให้ทีมใด ก็มีเสื้อกอล์ฟ ที่เริ่มทำแล้ว เริ่ม Launch มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ซึ่งเสียงตอบรับดีมาก


>>> เพราะ Warrix คือ ‘นักสู้’ และ ‘ตัวตน’

คำถามสุดท้าย ที่สงสัยนับแต่แรกเห็นคือ ชื่อ Warrix แปลว่าอะไรและทำไมจึงใช้ชื่อวอริกซ์

วิศัลย์ตอบว่า “วอริกซ์ (Warrix) คำๆ นี้ หากเปิดดิกชันนารีภาษาอังกฤษไม่มีนะครับ เพราะจริงๆ แล้วมาจากชื่อผมเอง วิศัลย์ (Wisan) เป็นชื่อผมแล้วก็ เชื่อมโยงกับประวัติชีวิตผม เพราะผมสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากที่บ้าน ธุรกิจประสบปัญหาตั้งแต่ตอนที่ผมเรียนอยู่ ม.2 อายุ 11ปี แล้วผมก็ต่อสู้ชีวิต หาเลี้ยงตัวเองมาจนจบปริญญาตรีและปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วก็ทำงาน ต่อสู้ด้วยตัวเอง ทำธุรกิจด้วยมือตัวเอง ไม่มีทรัพย์สมบัติที่บรรพบุรุษให้มา แล้ววันนี้ ผมก็สร้างธุรกิจขึ้นมาเป็นหลักใกล้ๆ พันล้านบาท ซึ่งถ้ารวมหลายบริษัทก็เกินพันล้านบาทไปแล้ว

"Warrix จึงเป็นเรื่องของการเอาชื่อผมมาแปลงเป็นคำว่า วอริกซ์ โดยตัว W ตัวแรกคือ Warrior (วอริเออร์) หมายถึงนักรบ โดยนิสัยผมก็เป็นนักสู้ สู้ชีวิต สู้เรื่องงาน แล้วก็ตัดทอนเอาชื่อผมมาใช้ด้วย กลายเป็นคำ Warrix (วอริกซ์) ครับ” วิศัลย์ระบุ

นอกจากบอกเล่าถึงที่มาความหมายของชื่อ “Warrix” ที่แผงไว้ด้วยความหมายดีๆ อย่าง Warrior ผสานหลอมรวมกับชื่อวิศัลย์แล้ว นักธุรกิจหนุ่มมากด้วยวิสัยทัศน์ผู้นี้ ยังทิ้งท้ายถึงปรัชญาในการทำธุรกิจที่น่าสนใจยิ่ง



>>> ปรัชญาในการทำธุรกิจ จริยธรรมนำหน้า

วิศัลย์กล่าวว่า “เรื่องปรัชญาในการทำธุรกิจ ผมมีปรัชญาอยู่ประโยคหนึ่งนะครับ ที่ผมยึดมาตลอดตั้งแต่ก่อนทำวอริกซ์ คือ ‘คนที่หิวเงิน จะไม่มีวันอิ่มเงิน’ เหมือนขัดแย้งกับโลกธุรกิจนะครับ แต่คำนี้ มันทำให้ผมทำธุรกิจอย่างยั่งยืนเพราะปรัชญานี้ ทำให้เราไม่ได้เอาความโลภนำหน้า หรือนำเรื่องของตัวเงินมาเป็นเบอร์หนึ่ง แต่เราจะเอาเรื่องอื่นมาเป็นเบอร์หนึ่ง เช่น เราทำงานกับคู่ค้า เราจะเอาเรื่องจริยธรรมเป็นเบอร์หนึ่ง มองเรื่องของความเกื้อหนุนกัน ไม่ได้เอาเรื่องความหิวเงินความโลภมานำ ถ้ามองไปถึงลูกค้า เราก็มีความซื่อสัตย์กับการทำสินค้า หรือส่งมอบบริการต่อลูกค้า

“เราไม่ได้เอาความโลภนำ ดังนั้น มันก็ไม่มีคำโกหก ไม่มีการยัดไส้ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด แต่แน่นอนว่า การทำธุรกิจต้องมีกำไร แต่เราจะมองเรื่องของจริยธรรมนำหน้าเรื่องของการทำกำไร นี่เป็นปรัชญาในการทำธุรกิจของผม เรื่องของคนที่หิวเงินจะไม่มีวันอิ่มเงิน ส่งผลไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทด้วย ส่งผลไปถึงทุกอย่าง” วิศัลย์ระบุถึงหลักการทำธุรกิจที่ยึดมั่นเสมอมา
กำลังโหลดความคิดเห็น