xs
xsm
sm
md
lg

“สมุนไพร” สินค้าดาวรุ่ง คนนิยมบริโภคป้องกันสุขภาพ กำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



สนค.เผยสินค้า “สมุนไพร” มีแนวโน้มเติบโตสูง หลังคนนิยมบริโภคเพื่อป้องกันสุขภาพ ต้องการสินค้าที่กลับคืนสู่สามัญ ตรวจสอบได้ แถมมีเมกะเทรนด์ใหญ่การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นตัวหนุน แนะไทยใช้จุดแข็งการเป็นฐานผลิตสมุนไพรเร่งพัฒนา ใช้นวัตกรรม และผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบย้อนกลับได้ เน้นมีเรื่องเล่า พร้อมรุกโปรโมตทั้งออนไลน์ ออฟไลน์

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์สินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ตามนโยบายที่ได้รับจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้หาโอกาสในการผลิตและการทำตลาดให้แก่ผู้ประกอบการของไทย โดยล่าสุดได้ศึกษาสินค้า “สมุนไพร” พบว่าเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงมาก เพราะเป็นสินค้าที่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความต้องการ หากผู้ผลิต ผู้ประกอบการไทยมีการวางแผนการผลิต และการทำตลาด ก็จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีความต้องการสินค้าสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น คือ 1. การป้องกันสุขภาพ ผู้บริโภคนิยมบริโภคสินค้าที่ป้องกันและดูแลสุขภาพมากกว่าการรักษา บริโภคแล้วอารมณ์ดี ลดเครียด เช่น เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม และสินค้าที่ทำจากพืช 2. การกลับสู่สามัญ ผู้บริโภคนิยมสินค้าที่ทราบแหล่งที่มา โดยใช้ส่วนผสมและภูมิปัญญาแบบดั้งเดิม 3. การเรียนรู้ด้วยตัวเอง เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้ตรวจสอบสุขภาพของตัวเองได้ ทำให้ผู้บริโภคนิยมบริโภคสินค้าที่ดูแลสุขภาพ และ 4. ความโปร่งใส ผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อสินค้าที่มีฉลากโปร่งใส ระบุส่วนผสมชัดเจน และต้องเป็นอาหารปลอดภัย ตรวจสอบแหล่งที่มาได้ ตรวจสอบย้อนกลับได้

นอกจากนี้ ยังมีเมกะเทรนด์ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าสินค้าสมุนไพร ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ทำให้เกิดแนวโน้มความต้องการสินค้าและบริการที่จะมารองรับประชากรสูงอายุ ซึ่งจะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงผู้บริโภคให้ความสำคัญต่อการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตยุคดิจิทัล (Digital Lifestyle) ที่ส่งผลให้แบรนด์สินค้าและบริการต้องหันมาให้ความสำคัญต่อการใช้สื่อและเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น ทั้งการสื่อสารการตลาด การให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภค และเป็นช่องทางการขาย


นายภูสิตกล่าวว่า สำหรับข้อเสนอแนะในการพัฒนาศักยภาพสมุนไพรไทย จะต้องยึดหลัก BCG Model ที่เน้นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว โดยต้องนำประโยชน์จากเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และต้องผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐานและกฎเกณฑ์สากล ให้ความสำคัญต่อการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานแรงงานที่ดี สินค้าต้องตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาได้ และปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย มีความปลอดภัย

ส่วนการทำตลาด สินค้าต้องมีจุดขาย มีเรื่องเล่า ที่มาที่ไป เพื่อสร้างความสนใจจากผู้บริโภค และต้องให้ความสำคัญต่อการตลาดทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยการตลาดออนไลน์ต้องทำการโฆษณาผ่านสื่อโซเชียลต่างๆ เพื่อให้เกิดการรับรู้และสนใจซื้อ ส่วนออฟไลน์ก็ต้องทำทั้งการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ การให้ข้อมูลสรรพคุณของสมุนไพรไทย หรือทำแบบผสมผสานในรูปแบบไฮบริด

สำหรับตลาดส่งออกสินค้าสมุนไพรของไทย เมื่อพิจารณาจากมูลค่าการส่งออกสมุนไพรปี 2563 พบว่า สินค้าพืชสมุนไพร (HS 1211) ได้แก่ พืชสมุนไพรมีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ จีน คิดเป็น 34.3% รองลงมา คือ ญี่ปุ่น 26.6% เวียดนาม 12.4% บังกลาเทศ 5.5% และเกาหลีใต้ 4.2% และสินค้าสารสกัดจากสมุนไพร (HS 1302) ได้แก่ สารสกัดสมุนไพร มีตลาดส่งออกที่สำคัญ คือ เมียนมา คิดเป็น 25.5% รองลงมาคือ ญี่ปุ่น 18.1% สหรัฐฯ 12.4% มาเลเซีย 9% และเวียดนาม 6%

สถานการณ์การส่งออกสมุนไพรในตลาดโลกในปี 2563 ทั่วโลกมีการส่งออกสินค้าพืชสมุนไพร (HS 1211) มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,526.3 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าพืชสมุนไพรอันดับที่ 40 มีส่วนแบ่งมูลค่าการส่งออก 0.4% ส่วนสินค้าสารสกัดจากสมุนไพร (HS 1302) มูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้น 6,455.6 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าสารสกัดจากสมุนไพรอันดับที่ 39 ส่วนแบ่งมูลค่าการส่งออก 0.2%
กำลังโหลดความคิดเห็น