การแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศไทย มีมูลค่ามากกว่า 20,000 ล้านบาท แม้จะมีผู้เล่นหลักอยู่ 3 รายใหญ่ๆ ได้แก่ โอสถสภา คาราบาวกรุ๊ป และกลุ่มกระทิงแดง แต่ก็พบว่ามีผู้ผลิตอีกจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาในตลาด หนึ่งในนั้นคือ เครื่องดื่มคอมมานโด ที่ปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ใหม่มาตั้งแต่ปี 2562
จากการเป็นผู้สนับสนุนกีฬาแข่งรถ และคอนเสิร์ต คอมมานโดเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น หลังดึงนักแสดงจิตอาสา บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ พร้อมสโลแกน "ทุ่มให้สุด ไม่หยุดทำ" แม้จะมีดรามาเกี่ยวกับทัศนคติทางการเมืองเกิดขึ้นมาบ้าง แต่เจ้าของแบรนด์เห็นว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล พร้อมเผยจุดยืน สนับสนุนทุกคนทำดีเพื่อสังคม แต่ไม่ไปเกี่ยวข้องกับการเมืองใดๆ
พร้อมกันนี้ ยังได้เพิ่มช่องทางจำหน่าย จากเดิมผ่านร้านขายของชำและโมเดิร์นเทรด เช่น ฟู้ดแลนด์ ตั้งฮั่วเส็ง ซีพีเฟรชมาร์ท หรือจะเป็น ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน เช่น จิฟฟี่ในปั๊ม ปตท. แมกซ์มาร์ทในปั๊มพีที ปั๊มบางจาก มาปีนี้ขยายไปยัง กรูเมต์มาร์เก็ต ท็อปส์มาร์เก็ต แฟมิลี่มาร์ท ล่าสุดเพิ่มเติมที่เซเว่นอีเลฟเว่น และมินิบิ๊กซี พร้อมจัดโปรโมชันลดราคาอย่างต่อเนื่อง
นี่อาจกลายเป็นการนำกำลังบุกชิงตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง หลังจากโอสถสภาเคยเบียดเบอร์หนึ่งในท้องตลาดอย่างกระทิงแดง ซ้ำเติมด้วยน้องใหม่อย่างคาราบาวแดง ใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมืองขึ้นมาเป็นเบอร์สองไปแล้ว แม้สภาพตลาดจะซบเซาหลังผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีผู้ใช้แรงงานส่วนหนึ่งต้องว่างงาน และสินค้าเกษตรตกต่ำ ฉุดให้ทั้งตลาดติดลบก็ตาม
ย้อนตำนานเครื่องดื่มที่มีสัญลักษณ์หมีคู่เจ้านี้ เป็นของ บริษัท กรุงสยามเครื่องดื่ม จำกัด ก่อตั้งโดย สมหวัง อัสราษี เจ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้ามิซูชิต้า เมื่อปี 2542 ด้วยทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท เดิมเคยผลิตเครื่องดื่มยี่ห้อ "ช้างแดง" วางจำหน่ายมา 2 ปี แต่ถูกคู่แข่งฟ้องร้องเรื่องเครื่องหมายการค้า จึงได้หยุดทำการตลาดไป และพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อทำตลาดทดแทน
ระหว่างนั้นเริ่มผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มบำรุงกำลังภายใต้ชื่อ "หมีคอมมานโด 2000" เน้นส่งออกและทำตลาดประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคอินโดจีน กระทั่งเดือนมกราคม 2545 กลับมาทำตลาดในประเทศอีกครั้ง แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรง เพราะมีค่ายน้องใหม่อย่างคาราบาวแดงแจ้งเกิด อีกทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ห้ามโชคใต้ฝาและควบคุมโฆษณา
ในที่สุด "หมีคอมมานโด 2000" จึงเบนเข็มไปเน้นตลาดส่งออกเป็นหลัก อาทิ พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม ก่อนจะขยายไปอีก 20 ประเทศ โดยมียอดขายราว 100 ล้านบาท พร้อมออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยเริ่มจากน้ำฟัก ก่อนจะขยายเป็นน้ำผลไม้กระป๋อง ชาเขียว เน้นตลาดส่งออกเป็นหลัก แต่ธุรกิจก็ล้มลุกคลุกคลานกันไปตามสภาพตลาดและเศรษฐกิจ
ภายหลังเมื่อตั้งหลักได้ สมหวังจึงเดินหน้ารีแบรนด์เครื่องดื่มโดยใช้ชื่อ "คอมมานโด" โดยมอบหมายให้ลูกชายอย่าง สิทธินันท์ อัสราษี เป็นแม่ทัพใหญ่ ที่ผ่านมาด้วยพื้นฐานตลาดต่างประเทศที่ดี มีการส่งออกไปขาย 43 ประเทศ โดยเฉพาะตลาดแอฟริกา หมีคอมมานโดขายดีเป็นอันดับต้นๆ ทำให้ตัดสินใจรีแบรนดิ้งแบรนด์คอมมานโดให้มีภาพลักษณ์ทันสมัยมากขึ้น
พร้อมกันนี้ ยังได้ปรับปรุงโรงงานและเพิ่มไลน์ผลิตใหม่ บนพื้นที่ 15 ไร่ ใน อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ปัจจุบันมีสินค้าหลักอยู่ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลัง กลุ่มน้ำผลไม้ ได้แก่ น้ำผลไม้พร้อมดื่มซันทาน่า จำหน่ายแถบประเทศตะวันตกและแอฟริกาตอนใต้, น้ำผลไม้ระดับพรีเมียม สยามริช วางจำหน่ายในเอเชีย ยุโรป อเมริกา
น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ซันทาน่าพลัส กระป๋องแบบยาว ส่วนหนึ่งวางจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่ น้ำสับปะรด น้ำส้ม น้ำลิ้นจี่ น้ำมะม่วง, น้ำผลไม้โยคุ, โยคุ วี ผสมวิตามิน, โยคุ ผสมเนื้อมะพร้าว เจาะกลุ่มตลาดเด็ก, น้ำมะพร้าวปาล์มเฟรช และสินค้าเพื่อสุขภาพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผงถั่วเหลืองชงดื่ม บาค์ส และน้ำนมถั่วเหลืองซันทาน่า ซอยบีนมิลค์
เครื่องดื่มคอมมานโด จุดขายหลักอยู่ที่รสชาติ หากดื่มแล้วจะรู้สึกว่าไม่ใช่เครื่องดื่มบำรุงกำลังแบบเดิมๆ ซ้ำๆ ที่เน้นไปที่ความหวานมากเกินไปจนต้องดื่มน้ำตาม แต่สำหรับคอมมานโดจะมีรสชาติไม่หวานเกินไป รวมถึงมีส่วนผสมของกรดอะมิโน ไลซีน ทอรีน และวิตามินต่างๆ โดยจำหน่ายแบบขวด ขนาด 150 มิลลิลิตร ในราคาขวดละ 10 บาท เทียบเท่ายี่ห้อชั้นนำทั่วไป
สำหรับตลาดต่างประเทศ คอมมานโดจะผลิตทั้งในรูปแบบขวดสีชา และแบบกระป๋องสีเงิน สัญลักษณ์หมีคู่สีเหลือง ขนาด 250 มิลลิลิตร ที่เหมาะสำหรับส่งออกไปต่างประเทศ โดยตลาดต่างประเทศใช้สโลแกน "Make you Solid" สื่อถึงความแข็งแกร่ง มีทั้งสูตรออริจินอล และ คอมมานโด ไลท์ มีแถบสีฟ้าทั้งบนและล่างของกระป๋อง พร้อมข้อความว่า Light สูตรน้ำตาลน้อย 8%
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องดื่ม คอมมานโด แมน ในรูปแบบกระป๋องสีดำ ผสมคาเฟอีนธรรมชาติ ถังเช่าสกัด กัวรานาสกัด โสมสกัด และวิตามินต่างๆ และเครื่องดื่ม คอมมานโดแดร์ ในรูปแบบเครื่องดื่มบำรุงกำลังอัดก๊าซ กระป๋องสีน้ำเงิน ขนาด 250 มิลลิลิตร เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่อีกด้วย ปัจจุบันเน้นส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
ปัจจุบัน กรุงสยามเครื่องดื่มมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี โดยหลังจากที่ไปเติบโตในตลาดแอฟริกา ตะวันออกกลาง และอีกกว่า 36 ประเทศทั่วโลก ก็ถึงเวลาบุกตลาดเมืองไทยให้เติบโต โดยเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา กรุงสยามเครื่องดื่มตั้งเป้าที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 3% ภายใน 3 ปี และเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้
แม้การเดินหน้าไปสู่เป้าหมายของคอมมานโดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะผู้เล่นหลักทั้งสามเจ้าล้วนมีจุดแข็ง ทั้งโอสถสภาที่กุมตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังหลายแบรนด์ คาราบาวกรุ๊ปที่มีภาพลักษณ์นักร้องเพลงเพื่อชีวิตอย่าง แอ๊ด คาราบาว มีเครือข่ายค้าปลีกกลุ่มซีเจที่แข็งแกร่งในระดับภูธร หรือเบอร์สามที่เคยเป็นเบอร์หนึ่งอย่างกระทิงแดง แบรนด์มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ
แต่การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ รุกทำตลาดผ่านโมเดิร์นเทรดและปั๊มน้ำมันของคอมมานโดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการตัดสินใจเลือก บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ย่อมเล็งเห็นผลเอาไว้ว่า ถึงเวลาที่คอมมานโด นำกำลังบุกชิงส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังอย่างจริงจัง แม้การเติบโตจะยังดูห่างไกลจากเบอร์สามอย่างกระทิงแดงก็ตาม
(เกาะกระแสธุรกิจ เศรษฐกิจสดใหม่ เรื่องราวการตลาดที่ใกล้ชิดผู้บริโภค กับ Ibusiness Review ที่นี่ที่เดียว! ทางเฟซบุ๊ก Ibusiness และเว็บไซต์ ibusiness.co)