xs
xsm
sm
md
lg

กกร.คงเป้าจีดีพีปีนี้โต 0.5-2% แนะรัฐเร่งฉีดวัคซีน-เพิ่มเงินคนละครึ่งฟื้น ศก.ได้ไตรมาส 4

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



กกร.ยังคงเป้าหมายจีดีพีปี 2564 โต 0.5-2% การส่งออกโต 5-7% หลังส่งออกครึ่งปีหลังทิศทางสดใส แนะรัฐบาลเร่งฉีดวัคซีนป้องโควิด-19 โดยเร็วเพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวเพื่อฟื้น ศก.ให้ได้เร็วขึ้นเป็นไตรมาส 4 รวมถึงอัดเงินผ่านโครงการคนละครึ่งเพิ่มขึ้น หนุนมาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ให้ยืดหยุ่น

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะทำหน้าที่ประธานประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า กกร.ได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ แล้วยังคงเป้าหมายอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ปี 2564 ที่ 0.5-2% การส่งออกโต 5-7% อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1-1.2% เนื่องจากแนวโน้มการส่งออกครึ่งปีหลังยังคงสดใสตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยยังต้องการแรงสนับสนุนจากทั้งนโยบายการเงินและการคลังเพิ่มเติม เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้า โดยผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และภาคการค้าสะท้อนว่าผลกระทบจากการระบาดคราวนี้มีแนวโน้มรุนแรงมากกว่าทั้ง 2 ระลอกก่อนหน้า สอดคล้องกับรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ฉบับล่าสุดในเดือน มิ.ย. (Article IV Consultation) ที่เสนอแนะให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการคลังมากขึ้น โดยเฉพาะการเร่งใช้จ่ายด้านการลงทุนภาครัฐ และมีความต่อเนื่อง

ดังนั้น กกร.จึงเสนอภาครัฐให้เร่งดำเนินการ ได้แก่  1. เร่งฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายและบริหารจัดการมาตรการควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว ไปพร้อมกับการเร่งออกแผนสนับสนุนการท่องเที่ยวตามรูปแบบของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีน และทยอยขยายขอบเขตไปยังจังหวัดท่องเที่ยวอื่นต่อไป ซึ่งหากสำเร็จเชื่อว่าจะช่วยให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเกิดขึ้นได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ แทนที่จะเป็นไตรมาสที่ 1 ของปีหน้าตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์

2. เพิ่มมาตรการช่วยเหลือด้านกำลังซื้อภาคประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ให้เข้ามาพยุงกำลังซื้อได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 โดยพิจารณาเพิ่มวงเงินสนับสนุนการใช้จ่ายจาก 3,000 บาท เป็น 6,000 บาท ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 9 หมื่นล้านบาท เป็น 1.8 แสนล้านบาท เมื่อรวมเม็ดเงินของประชาชนที่นำออกมาใช้จ่ายคู่กับเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่ง

3. พิจารณาแนวทางมาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ (E-voucher) ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จะช่วยผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ให้ผู้บริโภคสามารถนำเงินที่ใช้จ่ายสำหรับซื้อสินค้าและบริการมาใช้เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้โดยตรง ซึ่งเชื่อว่าจะอำนวยความสะดวกและดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ปัญหาการเมืองไม่กังวลแต่อย่างใด สิ่งที่เอกชนกังวลมากสุดคือการเร่งกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะเปิดประเทศให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ รวมไปถึงการต้องเร่งรัดดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีการเข้าถึงสินเชื่อโดยเร็ว

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญสุดคือต้องทำให้ประชาชนมั่นใจในการป้องกันตนเองในการติดเชื้อโควิด-19 และให้แผนการกระจายวัคซีนและจัดหาได้ตามแผนที่วางไว้เพื่อฉีดให้ประชาชนเร็วสุดซึ่งเป็นปัจจัยสูงสุดที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นเร็วขึ้น และเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องทำควบคู่กัน
กำลังโหลดความคิดเห็น