ผู้สื่อข่าวรายงานถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในรอบ 5 เดือนแรกของปี 2564 (ม.ค.-พ.ค.) ว่า ยังคงเห็นการเคลื่อนไหวของการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยรวมมีทั้งการเปิดโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียม แต่ตลาดหลักที่ผู้ประกอบการเข้ามาพัฒนาโครงการจะเทน้ำหนักในการหาที่ดินแปลงใหญ่รอบนอกกรุงเทพฯ และปริมณฑลในการพัฒนาโครงการแนวราบ โดยเฉพาะในกลุ่มของทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว บางโปรเจกต์จะพัฒนาในรูปแบบมิกซ์ยูส เพื่อรองรับความต้องการของแต่ละกลุ่มลูกค้า
จากการสอบถามผู้ประกอบการ ข้อมูลที่ได้รับส่วนใหญ่ยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ได้แก่
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 64 มีการลงทุนเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 7 โครงการ แนวราบ มูลค่า 6,280 ล้านบาท คิดเป็น 18% ของมูลค่าโครงการที่จะเปิดในปีนี้ 34,000 ล้านบาท ซึ่งในแผนยังคงเดิมเปิดโครงการทั้งปีจำนวน 31 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 27 โครงการ และโครงการคอนโดฯ จำนวน 4 โครงการ เป้าหมายยอดขายวางไว้ที่ 27,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ที่ 28,000 ล้านบาท
บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) เปิดโครงการไปแล้วทั้งสิ้น 10 โครงการแนวราบ (จะไม่มีการลงทุนตลาดคอนโดฯ) รวมมูลค่า 12,025 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นโครงการแนวราบ แยกเป็นกลุ่มทาวน์เฮาส์ 4 โครงการ 4,157 ล้านบาท บ้านแฝด 4 โครงการ มูลค่า 6,051 ล้านบาท และโครงการต่างจังหวัด 2 โครงการ มูลค่า 1,817 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ยังคงเป้าเดิมทั้งปีในการเปิดไว้ 24 โครงการ มูลค่า 29,800 ล้านบาท
แบ่งเป็นทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 9,700 ล้านบาท บ้านแฝด 5 โครงการ 7,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 7 โครงการ 11,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ 2,100 ล้านบาท
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในมิถุนายนนี้เตรียมเปิด 3 โครงการใหม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ มูลค่ารวม 1,760 ล้านบาท ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,650 ล้านบาท ประกอบไปด้วย CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 3 CENTRO พหลฯ-วิภาวดี 2 และโฮมออฟฟิศ District รามอินทรา-จตุโชติ มูลค่า 110 ล้านบาท พร้อมครึ่งปีหลังเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ และ LIFE อโศก ไฮป์ มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท
และ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ช่วง 5 เดือนแรกเปิดไปแล้ว 6 โครงการ มูลค่า 8,050 ล้านบาท คิดเป็น 40.25% ของเป้าเปิดโครงการทั้งปี ซึ่งเปิดไปแล้วทั้งคอนโดฯ และแนวราบอย่างละ 3 โครงการ โดยตลอดทั้งปีเปิด 20โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท
ท็อปโซน 'ทาวน์เฮาส์' 3-5 ล้านบาทขายดี
สำหรับการแข่งขันในช่วงไตรมาสแรกของปี 64 จากข้อมูลของบริษัทวิจัยอสังหาฯ แห่งหนึ่ง ระบุว่า หากมองในกลุ่มของทาวน์เฮาส์ พบว่า กลับมาฟื้นตัว โดยเฉพาะในเซกเมนต์ 3-5 ล้านบาท โดยจะเห็นว่าทาวน์เฮาส์กลุ่มนี้ มียอดขายในไตรมาสแรกประมาณ 6,686 ล้านบาท ประมาณ 1,800 ยูนิต โดยตลาดฟื้นตัวดีขึ้นทั้งในเชิงมูลค่าการขายและจำนวนยูนิตเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยที่ยอดขายหลักมาจาก 4 บริษัทรายใหญ่ เช่น บมจ.เฟรเซอร์สฯ บมจ.พฤกษา บมจ.เอพี และ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
และหากโฟกัสเฉพาะกลุ่มทาวน์เฮาส์ราคา 3-5 ล้านบาท เป็นเซกเมนต์หลักของสินค้าทาวน์เฮาส์ ซึ่งจะเห็นความเคลื่อนไหวของปักหมุดพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ โดย 6 ทำเลที่มีความคึกคักในการขายได้แก่ 1.ทำเลติวานนท์-นวลฉวี 2.ติวานนท์-กรุงเทพฯ นนท์ 3.วัชรพล-คู้บอน 4.แบริ่ง-วัดด่าน 5.ทวีวัฒนา-พุทธมณฑลสาย 4 และ 6.พระราม 5-บางกรวย อย่างไรก็ตาม บริษัทที่เข้ามาทำตลาดในกลุ่มนี้จะเป็นค่ายเฟรเซอร์สฯ พฤกษา และบริษัทแลนด์ฯ เป็นต้น
ขณะที่ทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาท ในไตรมาสแรกปี 64 ปรับลดลง -8% (YOY) โดยยังมีสินค้าคงเหลือมากที่สุดเมื่อเทียบกับสินค้าประเภทอื่น โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ซึ่งท็อปโซน ได้แก่ "บางบัวทอง" ยอดขายสูงต่อเนื่องจากปี 2563 จากโครงการเก่า แต่มีซัปพลายคงเหลือมูลค่าค่อนข้างสูง
คลัสเตอร์คอนโดฯ 5 ทำเลที่เติบโต
วกมาที่ตลาดคอนโดฯ แม้จะไม่ร้อนแรง แต่ด้วยปัจจัยของราคาที่ดินทำให้การเปิดโครงการใหม่มีมูลค่าสูงขึ้นตาม สิ่งที่เห็นตลาดคอนโดฯ เติบโตเพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ในกลุ่มระดับบน ตั้งแต่ระดับระดับ 7-10 ล้านบาท และมากกว่า 15 ล้านบาท ทำให้ไตรมาสแรกมูลค่าตลาดคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 31% (YOY) ขณะที่กลุ่มคอนโดฯ ระดับราคา 2-3 ล้านบาทและ 3-5 ล้านบาท ที่เคยเป็นตลาดหลักของกลุ่มคอนโดฯ ปรับลดลง 7% และ 2% ตามลำดับ
ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกปีนี้พบว่า จากโครงการคอนโดฯ ใหม่ที่เปิดตัวเข้ามา และทำยอดขายได้ดี โดยหากแยกเป็นท็อปคลัสเตอร์ยอดขายสูงสุดจะแยกเป็น 1.ศรีนุช-สวนหลวง ร.9-ศรีเอี่ยม 2.พร้อมพงษ์-ทองหล่อ-เอกมัย 3.พระโขนง- อ่อนนุช-ปุณณวิถี-อุดมสุข 4.อโศก-นานา และ 5.พระราม 9-ศูนย์วัฒนธรรม-มักกะสัน เป็นต้น