ปัจจุบันดอกเบี้ยบัญชีเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ต่ำลงเป็นประวัติการณ์ บัญชีออมทรัพย์เหลือเพียงแค่ 0.25% ต่อปี แม้จะมีบัญชีออมทรัพย์พิเศษ แต่ก็จำกัดยอดฝากที่จะได้รับดอกเบี้ยและจำกัดธุรกรรม อาจจะเรียกได้ว่าเก็บเงินไว้กินดอกเบี้ยเหมือนเช่นในอดีตก็คงจะลำบาก อีกทางเลือกหนึ่งในการสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าเงินฝาก คือการซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม
ปัจจุบันการซื้อหน่วยลงทุนกับกองทุนรวมทำได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก เปิดบัญชีลงทุนเสร็จไม่กี่นาที ทั้งผ่านแอปพลิเคชันธนาคารชั้นนำ ที่ใช้เช็กยอด โอนเงิน จ่ายบิล ถอนเงินไม่ใช้บัตร ก็สามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ทันใจ หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือแอปพลิเคชันของบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ที่มีกองทุนให้เลือกนับร้อยกองทุน ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1 บาทเท่านั้น
กองทุนรวม (Mutual Fund) คือ การรวบรวมเงินของนักลงทุน นำมาลงทุนตามนโยบายที่กองทุนรวมนั้นๆ กำหนดไว้ โดยมี “ผู้จัดการกองทุน” ที่เป็นมืออาชีพช่วยบริหารจัดการเงินของกองทุน ถือเป็นทางเลือกสำหรับคนที่มีเงินจำนวนไม่มาก ไม่มีเวลาติดตามข่าวสาร และไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนที่ดีพอ ก็จะซื้อหน่วยลงทุน แล้วให้ผู้จัดการกองทุนบริหารจัดการแทน
ทุกครั้งที่ซื้อกองทุนรวม สิ่งที่เรามักจะดูเป็นอย่างแรก คือ NAV (Net Asset Value) เป็นมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดของกองทุนรวม รวมถึงผลประโยชน์ต่างๆ ที่กองทุนรวมได้รับจากการลงทุน หักออกด้วยค่าใช้จ่ายและหนี้สินของกองทุนรวมนั้น โดยปกติแล้วจะทำการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนตามราคาตลาดในแต่ละวัน แบ่งออกเป็น “ราคาซื้อ” กับ “ราคาขายคืน”
กองทุนรวมมีทั้งหมด 8 ประเภทหลัก อาทิ 1. กองทุนรวมตลาดเงินในประเทศ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำที่สุด 2. กองทุนรวมตลาดเงินต่างประเทศ 3. กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล 4. กองทุนรวมตราสารหนี้ 5. กองทุนรวมผสม 6. กองทุนรวมตราสารทุน 7. กองทุนรวมตามหมวดอุตสาหกรรม และ 8. กองทุนรวมทางเลือก เช่น ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ ซึ่งมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ผลตอบแทนสูง
สำหรับผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษี จะมี กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ซึ่งเน้นการออมระยะยาว ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมเงินไว้ใช้จ่ายยามเกษียณอายุ ที่ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และขายได้ตอนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
ปัจจุบันการเปิดบัญชีกองทุน นิยมทำรายการผ่านแอปพลิเคชัน เพราะสะดวก รวดเร็ว ทำรายการที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องส่งเอกสาร ส่วนมากจะเริ่มต้นที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน กรอกข้อมูลส่วนตัว และยืนยันตัวตน ก่อนจะประเมินความเสี่ยง เมื่อเปิดบัญชีสำเร็จ เพียงเลือกกองทุนรวมที่สนใจ ก่อนจะเริ่มลงทุนและชำระเงินออนไลน์
ปัจจุบันมีแอปพลิเคชันธนาคารที่สามารถเปิดบัญชีกองทุน และทำรายการซื้อขายกองทุนได้ ไม่ต้องยื่นเอกสาร อาทิ K PLUS ธนาคารกสิกรไทย, SCB Easy ธนาคารไทยพาณิชย์, TOUCH ธนาคารทหารไทยธนชาต, KMA ธนาคารกรุงศรีฯ ฯลฯ รวมทั้งแอปพลิเคชันของบริษัทหลักทรัพย์จัดการ (บลจ.) เช่น K-My Funds, TISCO My Fund, MFC Funds, Principal TH ฯลฯ
อีกทางเลือกหนึ่ง คือ การเปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ที่ซื้อกองทุนได้ไม่จำกัด บลจ. เช่น แอสเซนด์ เวลธ์ ผ่านแอปฯ TrueMoney Wallet ในเมนู "ซื้อกองทุน" ใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการเปิดบัญชีกองทุน เปิดพอร์ตเสร็จใน 10 นาที ซื้อและตรวจสอบพอร์ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง เริ่มลงทุนขั้นต่ำที่น้อยกว่า เพียง 1 บาท ก็เริ่มลงทุนได้
หรือจะเป็น แอปฯ FINVEST ของบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน โรโบเวลธ์ จำกัด ที่รวบรวบกองทุนทั่วโลก มาให้เลือกกองทุนที่เหมาะสม และตรงกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง จัดการการลงทุนให้ตั้งแต่ การสมัครจนถึงการซื้อขายกองทุน ซื้อกองทุนได้หลากหลาย จาก บลจ. ชั้นนำในไทย และต่างประเทศได้ และไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติมในการลงทุน จาก บลจ.
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนรวมได้จากเว็บไซต์ SET INVEST NOW ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย www.setinvestnow.com เข้าไปที่เมนู "กองทุนรวม" ทั้งนี้การซื้อหน่วยลงทุนจากกองทุนรวม ควรศึกษาเงื่อนไขการลงทุน นโยบายการลงทุน ระดับความเสี่ยงและผลการดำเนินงานของกองทุนในอดีตให้ละเอียดรอบคอบก่อนเสมอ
การลงทุนในกองทุนรวมมิใช่การฝากเงิน มีความเสี่ยงของการลงทุนที่ผู้ลงทุนอาจจะได้รับเงินลงทุนคืนมากกว่าหรือน้อยกว่าเงินลงทุนเริ่มแรก จึงควรจัดสรรสินทรัพย์ระหว่างเงินฝาก กับเงินลงทุนทั้งในรูปของกองทุนรวม และการลงทุนรูปแบบอื่นทั้งหุ้น ตราสารหนี้ (พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทเอกชน) ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อกระจายความเสี่ยงและรับผลตอบแทนอย่างทั่วถึง
หมายเหตุ : ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจในลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
(เกาะกระแสธุรกิจ เศรษฐกิจสดใหม่ เรื่องราวการตลาดที่ใกล้ชิดผู้บริโภค กับ Ibusiness Review ที่นี่ที่เดียว! ทางเฟซบุ๊ก Ibusiness และเว็บไซต์ ibusiness.co)