xs
xsm
sm
md
lg

Ibusiness review : บัดเจ็ตโฮเต็ล "ฮ็อป อินน์" พลิกวิกฤตโควิดเป็นโอกาส

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะทำให้ธุรกิจโรงแรมอยู่ในภาวะหยุดชะงัก แต่สำหรับแบรนด์โรงแรมราคาประหยัดอย่าง "ฮ็อป อินน์" (Hop Inn) ของกลุ่มดิ เอราวัณ กรุ๊ป แม้จะได้รับผลกระทบจากการปิดบริการชั่วคราวไปเมื่อเดือนเมษายน 2563 แต่กลับมองเห็นความแข็งแกร่งได้อย่างชัดเจน หลังมีมาตรการคลายล็อกออกมาลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวภายในประเทศมีมากขึ้่น

ล่าสุด กลุ่มดิ เอราวัณ กรุ๊ป มีแผนที่จะก้าวสู่ผู้นำโรงแรมราคาประหยัดในเอเชียแปซิฟิกอีก 5 ปีข้างหน้า เริ่มจากประเทศไทย ฟิลิปปินส์ โดยจะขยายโรงแรมฮ็อปอินน์ในประเทศไทยให้ได้ 100 แห่งภายใน 5 ปี ซึ่งปีนี้มีแผนที่จะขยายสาขา 7 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวม 648 ห้อง ส่วนประเทศฟิลิปปินส์จะขยายให้ได้ 15 แห่งภายใน 5 ปี

เพชร ไกรนุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) อธิบายในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ระบุว่า สิ่งหนึ่งที่มองเห็นในช่วงวิกฤต คือ หลังจากเปิดเมือง โรงแรมฮ็อปอินน์มีผู้เข้าพักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สูงกว่าเดือนมกราคม 2563 เพราะรองรับลูกค้าในประเทศล้วนๆ ผลกระทบจากภายนอกจึงน้อยมาก


ส่วนโรงแรมฮ็อปอินน์ในฟิลิปปินส์ หลังเปิดให้บริการลูกค้ากลับมารวดเร็ว แม้จะรับได้เฉพาะลูกค้ากลุ่มที่จำเป็นเท่านั้น ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น ให้คนเดินทางท่องเที่ยวเป็นปกติ จะกลับมาเพิ่มขึ้นคล้ายกับประเทศไทยได้ จึงมองเห็นความแข็งแกร่งของกลุ่มโรงแรมราคาประหยัด (Budget Hotel) ที่มีความโดดเด่นได้อย่างชัดเจน ที่จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ

กลุ่มดิ เอราวัณ กรุ๊ป จึงมองไปที่กลุ่มโรงแรมราคาประหยัดในไทย ฟิลิปปินส์ และเอเชียแปซิฟิก รูปแบบมีทั้งก่อสร้างเอง และซื้อกิจการโรงแรมเดิม แต่ที่ผ่านมาราคาในการซื้อกิจการค่อนข้างสูง จึงเน้นไปที่สร้างเองในช่วงที่ผ่านมา ครั้งนี้อาจมีโอกาสที่ผู้ประกอบการโรงแรมเสนอขายกิจการ แต่อาจไม่ง่ายเจ้าของเดิมเพราะติดสถาบันการเงิน อาจจะให้เวลาพิจารณา 1-2 ปี

ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเป็นฮ็อปอินน์ เพราะมีแพลตฟอร์มที่ดีอยู่แล้ว เป็นแบรนด์ของเราเอง สร้างเอง ออกแบบเอง บริหารเอง เริ่มต้นเมื่อปี 2555 เปิดโรงแรมเมื่อปี 2557 ใช้เวลาเกือบ 10 ปีในการสร้างแผนธุรกิจ แม้จะมีโรงแรมราคาประหยัดของคู่แข่งจำนวนมาก แต่เครือข่ายโรงแรมไม่เยอะ การแข่งขันมีน้อยกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มโรงแรมระดับ 4-5 ดาว ที่มีหลายแบรนด์


ด้านความเสี่ยงถือว่าต่ำ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ละเอียดอ่อนค่อนข้างน้อย สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและช่วยกระจายความเสี่ยง แม้บางสาขาจะปิดชั่วคราวในไตรมาส 4/2563 แต่ภาพรวมไม่ได้รับผลกระทบเยอะ ความสามารถทำกำไร (EBITDA) สูงกว่ากลุ่มอื่น อยู่ที่ประมาณ 50% ด้วยแพลตฟอร์มที่ดี สมรรถนะที่แข็งแกร่ง จึงสามารถพัฒนาให้มีกำไรที่ดีได้

นอกจากนี้ ยังพัฒนาแบรนด์ฮ็อปอินน์อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยพิจารณาว่าทำอย่างไรให้ลูกค้ามองเป็นตัวเลือกแรก ทำอย่างไรให้ลูกค้าอยู่กับเราต่อ ทั้งโปรแกรมสมาชิกหรือระบบจองห้องพักที่สะดวกและง่ายที่สุด ทำอย่างไรให้ขยายโรงแรมครอบคลุมความต้องการที่มีอยู่ และทำอย่างไรให้ต้นทุนต่ำตลอดเวลาเพื่อเสนอราคาถูกที่สุดให้ลูกค้า

ที่ผ่านมามีการเปิดโรงแรมฮ็อปอินน์ เพชรบูรณ์ ที่เป็นโมเดลขนาดเล็ก 61 ห้อง เนื่องจากมีความต้องการไม่ใหญ่มาก ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนเพิ่มขึ้น และผลตอบรับค่อนข้างใช้ได้ คาดว่าในประเทศไทยจะมีโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็น 100 แห่ง เฉลี่ยปีละ 10 แห่ง ภายในปี 2568 เฉพาะปี 2564 มีแผนที่จะขยายสาขาของโรงแรมอีก 7 แห่ง ซึ่งปีที่ผ่านมาเปิดให้บริการแล้วปีละ 7-9 แห่ง


สำหรับแผนการลงทุน 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น โครงการโรงแรมฮ็อปอินน์ 12 แห่ง รวม 1,500 ล้านบาท ปรับปรุงโรงแรม 2,500 ล้านบาท ที่เหลืออีก 4,000-6,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงแรม และการซื้อกิจการโรงแรม ซึ่งภายใน 5 ปีข้างหน้า คาดหวังว่าจะมีความสามารถในการทำกำไรจากฮ็อปอินน์มากกว่า 40%

จากการสำรวจของ "Ibusiness review" พบว่ามีโครงการที่น่าสนใจ ได้แก่ โรงแรมฮ็อปอินน์ กรุงเทพ สถานีอ่อนนุช ตั้งอยู่บริเวณซอยสุขุมวิท 52 แขวงพระโขนงใต้ เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ความสูง 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มีจำนวนห้องพักอาศัย 133 ห้อง ปากซอยจะเป็นห้างโลตัส สุขุมวิท 50, สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส อ่อนนุช และโรงภาพยนตร์เซ็นจูรี่ เดอะมูฟวี่พลาซ่า สุขุมวิท


โรงแรมฮ็อปอินน์ กรุงเทพ สถานีบางนา ตั้งอยู่บริเวณถนนเทพรัตน (ถนนบางนา-ตราด) ปากซอยบางนา-ตราด 3 แขวงบางนาเหนือ เขตบางนา กรุงเทพฯ ความสูง 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร และร้านค้าสูง 1 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มีจำนวนห้องพักอาศัย 132 ห้อง ฝั่งตรงข้ามจะเยื้องศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ใกล้โครงการแบงค็อก มอลล์ และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส บางนา


โรงแรมฮ็อปอินน์ กรุงเทพ สถานีกรุงธนบุรี ตั้งอยู่บริเวณถนนกรุงธนบุรี แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ความสูง 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มีจำนวนห้องพักอาศัย 120 ห้อง ด้านหน้าจะเป็นสถานีรถไฟฟ้าสายสีทอง และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีกรุงธนบุรี จากจุดนี้สามารถไปยังศูนย์การค้าไอคอนสยาม เชื่อมต่อย่านธุรกิจสาทรและสีลมได้อีกด้วย

สำหรับต่างจังหวัด มีโครงการที่เตรียมไว้ 4 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมฮ็อปอินน์ นครราชสีมา 2 จ.นครราชสีมา ขนาด 79 ห้อง, โรงแรมฮ็อปอินน์ น่าน จ.น่าน เป็นโมเดลเล็ก ขนาด 62 ห้อง, โรงแรมฮ็อปอินน์ มหาสารคาม จ.มหาสารคาม เป็นโมเดลเล็ก ขนาด 61 ห้อง และโรงแรมฮ็อปอินน์ ชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ เป็นโมเดลเล็ก ขนาด 61 ห้อง

ที่ผ่านมา โรงแรมฮ็อปอินน์เปิดสาขาแรกที่ จ.หนองคาย เมื่อปี 2557 ในรูปแบบของเครือข่ายโรงแรมที่ให้บริการในจังหวัดต่างๆ ก่อนที่จะเข้าสู่พื้นที่ใจกลางเมืองที่แจ้งวัฒนะและรังสิต ปัจจุบันมี 43 สาขาทั่วประเทศ จังหวัดเชียงใหม่มีสาขามากที่สุด 3 แห่ง ขณะที่ 7 จังหวัดมีสาขาถึง 2 แห่ง ได้แก่ เชียงราย หาดใหญ่ (จ.สงขลา) ขอนแก่น ลำปาง พิษณุโลก ภูเก็ต และระยอง

ยุทธศาสตร์และทิศทางของกลุ่มดิ เอราวัณ กรุ๊ป ในการขยายโรงแรมฮ็อปอินน์ให้กลายเป็นผู้นำในกลุ่มโรงแรมราคาประหยัดในเอเชียแปซิฟิกอีก 5 ปีข้างหน้า จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง เปรียบได้กับพลิกวิกฤตจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป ให้กลายเป็นโอกาสในการรองรับทุกกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าในประเทศกับแบรนด์โรงแรมที่เชื่อมั่น และมั่นใจทุกครั้งที่เข้าพัก

(เกาะกระแสธุรกิจ เศรษฐกิจสดใหม่ เรื่องราวการตลาดที่ใกล้ชิดผู้บริโภค กับ Ibusiness Review ที่นี่ที่เดียว! ทางเฟซบุ๊ก Ibusiness และเว็บไซต์ ibusiness.co)
กำลังโหลดความคิดเห็น