SPRC อัดงบลงทุนปีนี้ 30 ล้านดอลลาร์ ลงทุนตามปกติและศึกษาธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 1 ปี มั่นใจปี 64 มีผลการดำเนินงานดีขึ้นหลังจากปีก่อนขาดทุน 6 พันล้านบาท
นายวิชัย ชุณหสมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการเงิน และการคลัง บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เปิดเผยว่า ในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนไว้ที่ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 900 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนตามปกติ 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอีก 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไว้ใช้ในการศึกษาโอกาสการทำธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับโรงกลั่นและน้ำมันทั้งค้าปลีกและปิโตรเคมี คาดว่าจะมีความชัดเจนในต้นปีหน้า
ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะดีกว่าปี 2563 ที่บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิ 187 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,005 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันจะปรับเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ค่าการกลั่นตลาดปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยคาดว่าครึ่งหลังปี 2564 บริษัทจะเดินเครื่องการกลั่นสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.75 แสนบาร์เรลต่อวัน
“ปี 2564 เป็นปีที่ challenge จากปี 2563 โดยโควิด-19 ยังอยู่กับเรา สถานการณ์ครึ่งแรกปี 2564 น่าจะไม่ต่างจากครึ่งหลังปี 2563 แต่เชื่อว่าครึ่งหลังปี 2564 จะดีขึ้นมากจากการเข้าถึงวัคซีน ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันกลับมาดีขึ้นทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มการอัตราการกลั่นและปริมาณการกลั่น ส่งผลให้มาร์จินการกลั่นดีขึ้นสูงกว่าปัจจุบัน 3-4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ดังนั้นขณะนี้บริษัทยังไม่เห็นปัจจัยใดที่จะทำให้บริษัทมีผลขาดทุนหรือแย่ลงในปี 2564”
ผลการดำเนินงานปี 2563 บริษัทฯ ขาดทุนสุทธิรวม 187 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,005 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 ขาดทุนสุทธิรวม 94 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2,809 ล้านบาท เนื่องจากมีปัจจัยหลักจากราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างมากในไตรมาสแรก ส่งผลให้เกิดค่าการกลั่นทางบัญชีติดลบขาดทุนจากราคาสต๊อกน้ำมัน รวมถึงค่าการกลั่นตลาดลดลงอยู่ที่ 2.79 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นไปตามความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการทำงานโดยปราศจากอุบัติการณ์ และการติดเชื้อ ทั้งยังเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการกระแสเงินสดผ่านการจัดการสินค้าคงเหลือ การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน การลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ทำให้บริษัทสามารถเพิ่มกระแสเงินสดได้มากถึง 83.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2564 ยังมุ่งเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและโครงการเพิ่มกระแสเงินสดรวมถึงการเดินหน้าศึกษาโอกาสการลงทุนในอนาคตอย่างต่อเนื่อง