xs
xsm
sm
md
lg

“พาณิชย์” แบ่ง 3 กลุ่มเจาะตลาดปี 64 เน้นตามศักยภาพการนำเข้าของคู่ค้า

เผยแพร่:



“พาณิชย์” วิเคราะห์ศักยภาพการนำเข้าของคู่ค้า 100 ประเทศ แยกออกได้เป็น 3 กลุ่มที่ไทยต้องวางแผนเจาะตลาดในปี 64 พร้อมประเมินส่งออกฟื้นตัวแน่ เหตุเศรษฐกิจ การค้าโลกดีขึ้น แต่ยังต้องระวังโควิด-19 ระบาดซ้ำสอง เผยอาหาร สินค้าทำงานที่บ้าน และป้องกันติดเชื้อยังโตได้ดี แต่สินค้าคงทนและฟุ่มเฟือยมีแนวโน้มหดตัว
น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้วิเคราะห์ศักยภาพการนำเข้าของประเทศคู่ค้า 100 ประเทศจากทุกภูมิภาค และนำประเทศที่มีศักยภาพการนำเข้าสูงมาคัดเลือกหาประเทศคู่ค้าที่ไทยควรมีนโยบายขยายความสัมพันธ์ทางการค้า หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ที่ไทยต้องวางแผนในการเจาะตลาดเพื่อขับเคลื่อนการส่งออกของไทยในปี 2564 ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น

โดยกลุ่มแรก เป็นประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพการนำเข้าสูง ความต้องการสินค้านำเข้าเป็นสินค้าประเภทเดียวกับที่ไทยส่งออกหลายรายการ และไทยส่งออกไปยังประเทศนั้นได้สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศคู่ค้าแล้ว ซึ่งไทยต้องรักษาฐานลูกค้าและสร้างความจงรักภักดี (Loyalty) ต่อสินค้าไทย และหากสามารถเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อให้ไทยมีแต้มต่อได้ จะเป็นผลดีอย่างยิ่ง ได้แก่ อเมริกาเหนือ (สหรัฐฯ แคนาดา) ยุโรปตะวันตก (เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส) โอเชียเนีย (ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย

กลุ่มที่ 2 เป็นประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพการนำเข้าสูง แต่ไทยส่งออกไปยังประเทศคู่ค้านั้นในระดับปานกลาง สามารถพัฒนาให้เป็นประเทศคู่ค้าที่มีการค้าในระดับสูงได้ โดยไทยต้องมุ่งทำตลาดเชิงรุก เร่งเจรจาแก้ไขปัญหาและอุปสรรค เพื่อขยายส่วนแบ่งตลาด หรือหากเจรจาจัดทำ FTA จะทำให้ไทยมีแต้มต่อหรือได้รับประโยชน์มากขึ้น โดยกลุ่มที่ไทยควรให้ความสำคัญลำดับแรก ส่วนใหญ่เป็นประเทศในยุโรปเหนือหรือสแกนดิเนเวีย (นอร์เวย์ เดนมาร์ก สวีเดน ฟินแลนด์) ยุโรปตะวันออก (สโลวีเนีย เช็ก ออสเตรีย ฮังการี โปแลนด์) และบางประเทศตะวันออกกลาง (กาตาร์ และอิสราเอล) ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่ประชาชนมีรายได้ต่อหัวสูง

ส่วนกลุ่มที่ 3 เป็นประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพการนำเข้าสูง แต่ไทยส่งออกไปยังประเทศคู่ค้านั้นน้อย กลุ่มประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่ไทยควรเร่งศึกษาตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม ได้แก่ ไอซ์แลนด์ เอสโตเนีย ลิทัวเนีย และคาซัคสถาน

น.ส.พิมพ์ชนกกล่าวว่า การส่งออกในปี 2564 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุน คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น นโยบายของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ มีแนวโน้มจะผ่อนคลายความตึงเครียดของสงครามการค้าและฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน และสหรัฐฯ-ยุโรป ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบ และการดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงจากการแพร่ระบาดระลอกสองของโควิด-19 นโยบายของนายโจ ไบเดน อาจกระทบการส่งออกสินค้าไทยบางรายการ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน สิ่งแวดล้อม และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

สำหรับสินค้าไทยที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ยังคงเป็น 3 กลุ่มสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตและพฤติกรรมใหม่ ได้แก่ 1. สินค้าอาหาร 2. สินค้าสำหรับใช้ทำงานที่บ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า และ 3. สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด ส่วนกลุ่มสินค้าคงทนและฟุ่มเฟือย มีแนวโน้มหดตัวจากการชะลอตัวของการผลิตและการบริโภค เช่น ยานยนต์ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องสำอาง นาฬิกาและส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
กำลังโหลดความคิดเห็น