xs
xsm
sm
md
lg

“ส่งด่วน” ระอุโค้งท้าย ทุ่มงบขยาย-ทุนใหญ่เข้าหุ้น

เผยแพร่:



การตลาด – ศึก เอ็กซ์เพรส ส่งด่วนร้อนระอุ แข่งขันรุนแรง ธุรกิจเนื้อหอมทุนใหญ่กระโดดเข้าร่วมถือหุ้น ค่ายใหญ่แห่อัดงบเต็มที่ ลงทุนขยายเครือข่าย-รถส่ง-ชูมอไซค์ไฟฟ้า-ดึงสามล้อร่วมวง

ตลาดขนส่งด่วนพัสดุหรือเอ็กซ์เพรสดีลิเวอรี่ ในไทย กลายเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่เติบโตดีและต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระบาดอย่างหนักตั้งแต่ช่วงต้นปี2563ทำให้ตลาดนี้คึกคักและแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น

ว่ากันว่า ในปี2563 นี้ อุตสาหกรรมโลจิสติกส์โดยรวมหรือธุรกิจขนส่งพัสดุในภาพใหญ่แล้ว ในปี2563 นี้ จากข้อมูลที่ นายเจสัน เชียน ผู้จัดการทั่วไปภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประธานกรรมการ เบสท์ ประเทศไทย บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวไว้คือ จะมีมูลค่ารวมมากถึง 66,000 ล้านบาท จากปีที่แล้ว(2562) ที่มีประมาณ 49,000ล้านบาท หรือเติบโตมากถึง 35%

โดยเติบโตต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560-2562 ที่โตเฉลี่ย 40% ต่อเนื่อง เป็นไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซที่โตมากถึง 18% มาต่อเนื่องเช่นกัน จากปี2562 ที่มีมูลค่าประมาณ 4,816 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพิ่มเป็น 5,572 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี2563นี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า ในปี2563 การขนส่งพัสดุโดยรวมจะมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 4 ล้านชิ้นต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี2562 ประมาณ 35% โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดโปรโมชันส่งเสริมการขายต่างๆ ของผู้ประกอบการออนไลน จากนี้ไป ธุรกิจเอ็กซ์เพรส น่าจะมีการเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญกับวิถีชีวิต ในไลฟ์สไตล์แบบนิวนอร์มัล (New Normal) มากขึ้นแน่นอนที่มีการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น


”แฟลชเอ็กซ์เพรส” รับ 3 พันธมิตรอัดงบ 3 พันล.

นายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทแฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด ผู้ให้บริการขนส่งสัญชาติไทยแบบครบวงจร กล่าวว่า จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทฯ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ได้กลายมาเป็นโอกาสให้ธุรกิจ อี-คอมเมิร์ซ มีตัวเลขที่สูงขึ้นอย่างชัดเจนส่งผลให้ภาคขนส่งกลายเป็นธุรกิจเนื้อหอมของตลาดไปโดยปริยาย




ล่าสุดมีกลุ่มทุนบริษัทรายใหญ่ 3 รายของไทยได้เข้ามาลงทุนุในบริษัทฯรวมงบลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท หรือประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยนำเอานำเอาศักยภาพ และจุดเด่นของแต่ละธุรกิจเข้ามาผสานรวมกันเพื่อพัฒนาโมเดลธุรกิจในรูปแบบต่างๆ ที่จะสามารถรองรับการขยายตัวของธุรกิจ E-commerce รวมถึงการพัฒนาระบบขนส่งในรูปแบบ Ecosystem ที่สามารถเชื่อมโยงกับ supply chain ได้อย่างครบวงจร ตลอดจนพัฒนาระบบขนส่งให้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในภาคบริการอื่นๆ ที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

การเพิ่มเม็ดเงินลงทุนครั้งนี้ เป็นผลมาจากการระดมทุนของ แฟลช เอ็กซ์เพรส ในรอบ Series D หลังจากนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ในไทยที่เตรียมประกาศความเป็นพันธมิตรร่วม อยู่ระหว่างขั้นตอนการเจรจา คาดว่าจะชัดเจนช่วงไตรมาสแรกปี 2021




การร่วมทุนครั้งนี้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การขยายธุรกิจในกลุ่ม new s-curve ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านพลังงานและโลจิสติกส์ ต่อยอดไปยังกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค และธุรกิจการเงินเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในตลาด




อีกทั้งยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้นำ Trends Digital 4.0 เข้ามาเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นด้านแพลตฟอร์มทางการเงิน การนำระบบ e-Payment เข้ามาใช้ในระบบขนส่ง ให้เกิดเป็น อี-คอมเมิร์ซ แบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น

“หลังจากนี้แฟลช เอ็กซ์เพรส จะมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีมากยิ่งขึ้น และไตรมาสสุดท้ายปีนี้ เรายังโฟกัสขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศ AEC ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มขนส่งแบบใหม่ที่สามารถเชื่อม AEC และประเทศไทยให้เป็นแผ่นดินเดียวกัน คือ การนำเอาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยจากต่างประเทศเข้ามาผสมผสานหลอมรวมเป็น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รูปแบบใหม่ ”นายคมสันต์ กล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเปิดรับพันธมิตร 3 รายครั้งนี้ แม้ว่าทาง แฟลช เอ็กซ์เพรส จะไม่เปิดเผย แต่มีกระแสข่าวว่า พันธมิตรดังกล่าวน่าจะเป็น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR ที่เป็นบริษัทลูกของ ปตท., บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต และ บริษัท เดอเบล (Durbell) (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นดิสทริบิวเตอร์ภายใต้เครือ TCP หรือเจ้าของแบรนด์กระทิงแดง

ทั้งนี้แฟลช เอ็กซ์เพรส เป็นผู้ให้บริการขนส่งเอกชนสัญชาติไทย ที่เป็นผู้เล่น TOP3 ในตลาด เติบโต 3,000% มีการขยายสาขาและรับพนักงานเพิ่มในทุกวัน เฉลี่ยวันละ 100 คน ล่าสุดมีพนักงานจำนวนกว่า 23,000 คน โดยมียอดจัดส่งพัสดุเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 1 ล้านชิ้น มีจุดให้บริการรับ-ส่งพัสดุรวมทั่วประเทศมากกว่า 5,000 แห่ง แบ่งเป็นกทม.และปริมณฑล 30% และต่างจังหวัดอีก 70%




แผนธุรกิจครึ่งปีหลังจะขยายจุดให้บริการอีก 5,000 แห่ง รวมเป็น 10,000 แห่ง ในส่วนรถขนส่งพัสดุประเภทต่างๆ มีรถที่วิ่งอยู่ทั่วประเทศกว่า 15,000 คัน ซึ่งในปี 2020 ก็ได้มีแผนเพิ่มรถอีกราว 30%

อย่างไรก็ตาม เดิมทีบริษัทวางแผนการลงทุนด้วยงบมากกว่า 6,000 ล้านบาท แต่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ COVID-19 ที่นับว่าภาพรวมธุรกิจทั่วโลกต่างชะลอตัว จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังเราจะใช้เม็ดเงินลงทุนจำนวน 4,500 ล้านบาท โดยเน้นความสำคัญไปที่ 2 ส่วน คือ เสริมศักยภาพทางธุรกิจเพื่อสอดรับกับการเติบโตของ E commerce และขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศ AEC ที่เราตั้งใจจะทำให้แล้วเสร็จในปีนี้

แฟลช สามารถทำบริการได้ครบ 77 จังหวัดทั่วประเทศ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแคมเปญการตลาดต่อเนื่อง ซี่งเดือนสิงหาคมได้ทำ “แฟลชเปย์ เฮคุ้ม ลดสูงสุด 50% ตลอดเดือนสิงหาคม” โดยจะลดราคาค่าบริการในการจัดส่งพัสดุลง 50% ทุกวันจันทร์-วันเสาร์ ตลอดเดือนสิงหาคม (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)

แฟลช เอ็กซ์เพรส เป็นผู้ให้บริการขนส่งสัญชาติไทยเจ้าแรกที่มีการใช้พรีเซ็นเตอร์ คือ “ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี” ซึ่งบริษัทฯ ร่วมงานกันมากว่า 2 ปีแล้ว และในปีนี้เราก็ยังคงใช้ติ๊กให้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของแฟลช เอ็กซ์เพรส โดยยังไม่มีแผนเปลี่ยนตัวแต่อย่างใด


“เบสท์” ชูแฟรนไชส์ลงระดับอำเภอ

นายเจสัน เชียน ผู้จัดการทั่วไปภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประธานกรรมการ เบสท์ ประเทศไทย บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในครึ่งปีหลัง 2563บริษัทฯมีแผนจะขยายฐานการตลาดลงระดับพื้นที่ท้องถิ่นมากขึ้น ด้วยระบบแฟรนไชส์ และขยายศูนย์กระจายสินค้าเพื่อเป็นศูนย์กลางของธุรกิจห่วงโซ่อุปทาน หรือ “HUB Supply Chain” รองรับการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ




โดยครึ่งปีหลังจะใช้งบประมาณกว่า 300 ล้านบาท เช่น การตั้งเป้าขยายแฟรนไชส์เบสท์เอ็กซ์เพรสให้ได้ 800 สาขา จากขณะนี้มีแฟรนไชส์ทั่วประเทศกว่า 500 สาขา ทั้งในรูปแบบแฟรนไชส์หลัก, แฟรนไชส์รอง, ช้อป และจุดรับพัสดุ และภายในปี 2567 จะเพิ่มแฟรนไชส์ทั้ง 4 ประเภท ให้ครอบคลุมทั่วไทยมากถึง 2,000 สาขา ส่วนคลังสินค้าปัจจุบันมี 7 แห่ง จะลงทุนเพิ่มเป็น 10 กว่าแห่งภายในสิ้นปีนี้ และยังจะเพิ่มพนักงานขนส่งที่มีอยู่กว่า 3,000 คนในขณะนี้ เพิ่มเป็น 5,000 คนในสิ้นปีนี้ด้วย

จุดเด่นของเบสท์ คือ การทำกิจกรรมการตลาดที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ของผู้บริโภค ชูจุดเด่นความเป็น One Stop Integrated Supply Chain Services ในต้นทุนที่ต่ำสุดและรวดเร็วที่สุด ด้วยบริการรับพัสดุถึงหน้าบ้านฟรีไม่จำกัดจำนวนชิ้น และเก็บเงินปลายทางภายใน 1 วัน และยังใช้กลยุทธ์พรีเซ็นเตอร์เหมือนค่ายอื่นโดยเลือก “ณเดชน์ คูกิมิยะ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ และใช้ “น้องกวางเบสท์” หรือ Dear เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์คู่กับพรีเซ็นเตอร์ในการรุกตลาดและสร้างแบรนด์ต่อเนื่อง ใช้งบการทำตลาดประมาณ 10% จากรายได้รวม

อย่างไรก็ตาม นางสาวณัฎฐรัก ดิลกพิทยะรัชต์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดและผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส เบสท์ ประเทศไทย บริษัท เบสท์ โลจิสติกส์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แผนระยะยาวช่วง 5 ปีจากนี้ (2563-2567) บริษัทฯตั้งงบการลงทุนรวมไว้ 5,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยี คลังสินค้า การบริการ และการขยายสาขา




จากการเติบโตของธุรกิจ เบสท์ เอ็กซ์เพรส เปิดโอกาสให้รถตุ๊กตุ๊กเข้าร่วมส่งพัสดุ โดยร่วมมือกับ บริษัท ไทย คิงมอเตอร์ อินโนเวชั่น จำกัด เพื่อช่วยเหลือผู้ขับรถตุ๊กตุ๊กไทยที่ประสบปัญหาขาดแคลนรายได้จากวิกฤตโควิด อีกทั้งต้องการคงความเป็นเอกลักษณ์ของรถตุ๊กตุ๊กไทย โดยจะเปิดให้ผู้ที่สนใจในทุกพื้นที่ ส่งข้อมูลรายละเอียดมาร่วมสมัครกัน ซึ่งทางเบสท์เอ็กซเพรสกับ บริษัท ไทย คิงมอเตอร์ อินโนเวชั่น จำกัด จะเป็นผู้คัดเลือกร่วมกัน โดยพิจารณาในหลาย ๆ ส่วน อาทิ เขตพื้นที่การเดินรถ ความพร้อมของผู้สมัคร และคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อกำหนดของเบสท์เอ็กซ์เพรส


“ลาลามูฟ” โฟกัสหนักตลาดไทย

นายรวีโชติ เศรษฐี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลาลามูฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาด Express Delivery ในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากวิกฤตการ์ของโควิด-19 ที่ส่งผลให้หลาย ๆ ธุรกิจต้องปรับตัวและหันมาพึ่งพาการใช้บริการขนส่งสินค้าและบริการมากขึ้น รวมไปถึงธุรกิจที่ไม่เคยมีบริการขนส่งมาก่อนอีกด้วย

โดยทางลาลามูฟได้ให้ความร่วมมือกับคู่ค้าธุรกิจ มีการจัดเวิร์คช้อปหรือสัมมนาขนาดเล็ก เพื่อให้ความรู้และวางรากฐานระบบการขนส่งสินค้าและบริการให้กับแต่ละธุรกิจ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการและธุรกิจสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์อันไม่คาดฝันที่อาจะเกิดขึ้นได้อีก

“ความต้องการเรื่องระบบขนส่งจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ คาดว่า ธุรกิจออนไลน์และ E-Commerce จะเติบโต ซึ่งระบบการจัดการสินค้าบริการ และ โลจิสติกส์จะมีความต้องการสูงขึ้นไปด้วย โดยเฉพาะบริการขนส่งด่วน ที่เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจการขนส่ง”


จากเดิมลาลามูฟให้บริการในพื้นที่กรุงเทพฯ มาตั้งแต่ปี 2015 และขยายพื้นที่บริการไปที่ชลบุรีและพัทยาเมื่อปีที่แล้ว ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เรามีบริการขนส่งด้วยรถมอเตอร์ไซค์ รถบรรทุก รถยนต์ 5 ประตู และรถกระบะโครงเหล็กสูง (กระบะคอก) ซึ่งเป็นบริการใหม่ล่าสุด ด้วยความหลากหลายของประเภทรถที่ให้บริการ ทำให้ลาลามูฟสามารถขนส่งสินค้าและตอบโจทย์ผู้ประกอบการในหลายๆ อุตสาหกรรม เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจค้าส่ง และอื่นๆ

ตลาดประเทศไทยยังคงเป็นจุดโฟกัสสำคัญของลาลามูฟ ซึ่งเรามุ่งมั่นที่จะต่อยอดการลงทุนธุรกิจที่นี่ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ลาลามูฟได้เปิดตัวบริการรถกระบะโครงเหล็กสูง (รถกระบะคอก) หลังจากมองเห็นถึงความต้องการจากธุรกิจขนาดเล็กและกลาง

นอกจากนั้นในแง่ของกลยุทธ์การตลาดก็ต้องรุกหนัก ซึ่งช่วงก่อนหน้านี้ ลาลามูฟได้เปิดตัว “Deliver Possibilities Faster” มาร์เก็ตติ้งแคมเปญ ที่จะช่วยธุรกิจต่างๆ ที่ต้องเผชิญวิกฤต COVID-19 เพื่อสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อยให้เดินหน้าต่อไปได้ผ่านการขนส่งสินค้าที่รวดเร็ว ให้บริการตลอด 24 ชม. ขณะนี้เรายังไม่มีแผนที่จะใช้พรีเซ็นเตอร์คนไทย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ปิดกั้นไอเดียในเรื่องนี้


“เจ แอนด์ ที” เร่งขยายเครือข่าย

ขณะที่ค่ายเจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ที่ใช้ มาริโอ้ เมาเร่อร์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ก็มีการเติบโตมาแบบน่าสนใจ โดย เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ไทยแลนด์ ปัจจุบันมีหน้าร้านสาขาที่ให้บริการมากกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ ครอบคลุมทุก 928 อำเภอ ยังรวมไปถึงศูนย์คัดแยกและกระจายสินค้าที่มีมากกว่า 15 แห่งทั่วประเทศ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 100% ที่ดำเนินการบริหารงานเองทั้งหมด และยังคงมีแผนงานที่จะขยายเครือข่ายเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งประกาศเปิดตัวแคมเปญใหม่ “โอ้! ไม่หยุดกับ J&T Express” เพื่อช่วงชิงฐานลูกค้า เน้นกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยยังเปิดให้บริการตลอด 365 วัน แบบไม่มีวันหยุด มุ่งเน้นการจัดส่งพัสดุอย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ตรงเวลา โดยนายบรูซ หลิว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทฯได้จัดแคมเปญนี้ขึ้นมาเพื่อตอบรับกระแสการช้อปปิ้งออนไลน์ในภาพรวมที่มีการเติบโตอย่างดีกว่า 100% ในช่วงที่ผ่านมา

แคมเปญนี้ เจแอนด์ที เองต้องการเจาะตลาด ทั้งลูกค้าผู้บริโภค พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทั่วประเทศ ด้วย 4 ไฮไลท์บริการเดือนกันยายนที่ผ่านไป เพื่อช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ และทำให้ เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส เป็นที่รู้จักและเข้าถึงคนไทยมากขึ้นนั่นเอง ประกอบด้วย

1.โอ้! ค่าส่ง 9.9 บาท/1กิโล ทุกวันอาทิตย์ (เพียงแค่ส่งพัสดุน้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม จ่ายเพียง 9.9 บาทเท่านั้น ถูกที่สุดในประเทศไทย ราคานี้เฉพาะแค่วันอาทิตย์เท่านั้น จนถึง 31 ธันวาคม 63)

2. โอ้! โอนไว ใน 1วัน กับบริการ COD Next day ของถึงมือลูกค้าวันนี้ เงินเข้าบัญชีวันถัดไป รวดเร็วทันใจ มีเงินต่อยอดธุรกิจ)

3.โอ้! ไลค์เลย รับ iPhone11 Pro จำนวน 10 เครื่อง รวมมูลค่ามากกว่า 350,000 บาท แค่กด Like เพจ J&T Express Thailand และร่วมสนุกใต้โพสต์กิจกรรม ง่ายๆ รอรับได้เลย

และ 4. โอ้! โปรดีๆ มีอีกเพียบแค่ติดตามเพจ J&T Express Thailand (เงื่อนไขเป็นไปตามบริษัทกำหนด)


“เคอรี่” อัดแคมเปญขยายฐานลูกค้า

นายไมเคิล ฉ่อย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนิวนอร์มัลที่จับจ่ายใช้สอยผ่านทางช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้แบรนด์ต่างๆเพิ่มช่องทางในการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มของอีคอมเมิร์ซกันอย่างแพร่หลาย ทำให้ธุรกิจการขนส่งพัสดุเติบโตเพิ่มด้วย

จากการศึกษาข้อมูลผู้ใช้บริการจัดส่งพัสดุด่วนในประเทศไทยพบว่า ความต้องการของผู้ใช้งาน ต้องการความรวดเร็วในการจัดส่ง การส่งมอบสินค้าให้ถึงมืออย่างปลอดภัยและตรงต่อเวลาเป็นหลัก เราจึงพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการอย่างต่อเนื่องรองรับเทรนด์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเพิ่มจำนวนพนักงาน การนำเทคโนโลยีต่างๆมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวก และการคัดแยกและกระจายสินค้าเป็นต้น

ปัจจุบันเคอรี่ เอ็กซ์เพรสมีจำนวนจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่ง มีศูนย์กระจายสินค้ามากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ สามารถจัดส่งพัสดุให้แก่ลูกค้ากว่า 1 ล้านชิ้นต่อวัน

ทางเคอรี่ เอ็กซ์เพรส ยังระบุด้วยว่า การแข่งขันในธุรกิจขนส่งพัสดุในครึ่งปีหลังก็ยังคงดุเดือด ผู้ให้บริการต่างให้ความสนใจในการออกโปรโมชั่นด้านราคาเพื่อดึกดูดลูกค้าให้มาใช้บริการ แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการคือความรวดเร็วในการขนส่งและบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน เมื่อเร็ว ๆ นี้เราได้มีการปรับเปลี่ยนกล่องพัสดุของเราให้มีดีไซน์และสีสันสดใสสะดุดตา เพื่อกระตุ้นให้ธุรกิจขนส่งพัสดุมีความคึกคักมากขึ้นอีกด้วย

ส่วนช่วงครึ่งปีหลังการทำแคมเปญสื่อสารการตลาดของเคอรี่จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างภาพลักษณ์ที่เข้าถึงง่ายให้กับแบรนด์เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่า และดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ เข้ามาทดลองใช้บริการ โดยมี เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ เป็นพรีเซ็นเตอร์ การปรับปรุงและพัฒนาบริการของเราให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลให้มากที่สุด การนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการบริการจัดการการจัดส่ง ติดตาม และกระจายสินค้า เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าของเรา

ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่แล้ว นายอเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัว โครงการ “Kerry Express Grow Green” นำร่องทดลองใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในการจัดส่งพัสดุ โดยในเฟสแรกจะเริ่มต้นใช้ในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายประหยัดพลังงาน รักษาสิ่งแวดล้อมของบริษัทฯเป็นระยะเวลา 4 เดือน เพื่อศึกษาข้อมูลการใช้งานจริง จากปัจจุบันเคอรี่ เอ็กซ์เพรส มีจำนวนยานพาหนะที่ใช้ขนส่งอยู่กว่า 20,000 คัน
กำลังโหลดความคิดเห็น