แม้รัฐบาลทั่วโลกพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือธุรกิจที่เจอพิษล็อกดาวน์ แต่ไม่อาจหยุดยั้งระเบิดเวลาการล้มละลายซึ่งกำลังจะทำสถิติใหม่เร็วๆ นี้ ขณะที่ผลการศึกษาที่เฟซบุ๊กจัดทำร่วมกับเวิลด์แบงก์และ OECD พบว่า SME 1 ใน 3 ต้องปลดพนักงานเพื่อให้อยู่รอด
ออยเลอร์ เฮอร์เมส บริษัทประกันเครดิตชั้นนำ เผยรายงานการศึกษาที่พบว่า โควิด-19 กำลังสร้างระเบิดเวลาการล้มละลาย โดยคาดว่า จำนวนบริษัทล้มละลายระหว่างปี 2019-2021 จะเพิ่มขึ้นถึง 35% ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่สำหรับดัชนีการล้มละลายของโลก โดยประเทศราวครึ่งหนึ่งจะทุบสถิติการล้มละลายที่เคยทำไว้ในช่วงวิกฤตการเงินปี 2009
อเมริกาเป็นประเทศที่จะมีบริษัทล้มละลายมากที่สุดในโลกคือ เพิ่มขึ้นถึง 57% ในปี 2021 เมื่อเทียบกับปี 2019, 45% ในบราซิล, 43% ในอังกฤษ และ 41% ในสเปน ส่วนจีนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 20%
รายงานแจงว่า การระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาในอเมริกาทำให้กิจกรรมธุรกิจตกต่ำสุดขีดและยังนำไปสู่วิกฤตสภาพคล่องสำหรับบริษัทต่างๆ มิหนำซ้ำยังไม่มีวี่แววว่า เศรษฐกิจอเมริกาจะฟื้นตัวเป็นรูปตัว U มากพอที่จะชดเชยผลกระทบทั้งหมดจากวิกฤตโรคระบาด หรือป้องกันไม่ให้จำนวนบริษัทล้มละลายพุ่งขึ้นต่อเนื่องจนถึงปีหน้า
ยิ่งบริษัทที่ล้มละลายมีขนาดใหญ่ ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์โดมิโน เพราะหมายความว่า บริษัทจำนวนมากถูกเบี้ยวหนี้หรือถูกบีบให้ต้องหาซัพพลายเออร์ใหม่ที่อาจมีต้นทุนสูงขึ้น
ออยเลอร์ เฮอร์เมสยังเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ 2 แบบที่อาจทำให้สถิติการล้มละลายพุ่งแรงขึ้นคือ การยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนเวลาอันควรซึ่งจะส่งผลให้จำนวนบริษัทล้มละลายเพิ่มขึ้น 40-50% และถ้าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกใช้เวลานานกว่าที่คาด อาจทำให้สถิติการล้มละลายพุ่งโด่งถึง 85-95%
นอกจากนั้นช่วงกลางเดือนที่ผ่านมายังมีการเปิดเผยผลสำรวจที่เฟซบุ๊กจัดทำร่วมกับธนาคารโลกและองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งพบว่า บริษัทขนาดเล็ก 1 ใน 3 ทั่วโลกต้องปลดพนักงานเพื่อให้อยู่รอดได้ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่โควิด-19 ระบาดหนัก
ธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SME) 26% บอกว่า ต้องปิดชั่วคราวระหว่างเดือนมกราคมถึงพฤษภาคม
การสำรวจความคิดเห็นผู้นำธุรกิจขนาดเล็กกว่า 30,000 คนในกว่า 50 ประเทศพบว่า 2 ใน 3 ของธุรกิจที่ยังเปิดระหว่างที่จัดทำการสำรวจคือวันที่ 28-31 พฤษภาคม มียอดขายลดลงในช่วง 30 วันก่อนหน้านั้น ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
และเพื่อรับมือกับสิ่งที่รายงานฉบับนี้เรียกว่า “ความท้าทายในช่วงชีวิต” บริษัท 1 ใน 3 ที่ยังเปิดดำเนินการระหว่างจัดทำการสำรวจบอกว่า ต้องปลดพนักงานออก
รายงานระบุว่า วิกฤตโรคระบาดไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขเท่านั้น แต่ยังเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง SME
บริษัทเหล่านี้ที่มีหน้าเพจบนเฟซบุ๊กเข้าร่วมการสำรวจซีรี่ส์แรกของการจัดเก็บข้อมูลรายเดือนที่จะจัดทำต่อเนื่องนาน 6 เดือน เพื่อศึกษาผลกระทบจากโรคระบาดที่มีต่อกิจการขนาดเล็ก
วิกฤตไวรัสโคโรนาบีบให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ซึ่งกัดกินเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและฉุดให้บางประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย เดือนมิถุนายนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้จะหดตัวถึง 4.9%
ผลสำรวจของเฟซบุ๊กยังชี้ว่า อุตสาหกรรมที่เน้นหนักผู้บริโภคได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยบริษัทท่องเที่ยว 54% และบริษัทขนาดเล็กที่ทำธุรกิจต้อนรับและจัดการอีเวนต์ต้องปิดชั่วคราว
นอกจากนั้น ยังพบว่า ธุรกิจที่บริหารโดยผู้หญิงปิดทำการมากกว่าธุรกิจที่บริหารโดยผู้ชาย และ SME ที่มีผู้บริหารหญิงทำธุรกิจกระจุกตัวอยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์มากที่สุด