สำหรับคนที่มีอายุ 30-40 ปีขึ้นไป ไม่มีใครไม่รู้จัก 'สบู่ไลฟบอยย์' (Lifebouy) สบู่ก้อนที่ชูคุณสมบัติยับยั้งแบคทีเรีย ป้องกันเหงื่อได้นาน กลายเป็นสินค้ายอดนิยมคู่กับวลีฮิต "อยู่ไปก็ไลฟบอยย์" แต่เมื่อการแข่งขันสบู่เพื่อสุขภาพผิวรุนแรง ค่ายยูนิลีเวอร์ปั้นแบรนด์ใหม่เพื่อต่อกรกับคู่แข่ง ทำให้สบู่ไลฟบอยย์หายไปจากตลาดในประเทศไทย
แต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีผู้ติดเชื้อนับแสนคนทั่วโลก สร้างตำนานครั้งใหม่ของไลฟบอยย์ในไทย กับ "เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ" ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้ โดยวางจำหน่ายขนาด 50 มิลลิลิตร ราคา 59 บาท ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น และห้างบิ๊กซี ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมา ไลฟบอยย์กลับมาผลิตและทำการตลาดในประเทศไทยอีกครั้ง หลังห่างหายไปประมาณ 20 ปี โดยวางจำหน่ายครีมอาบน้ำ ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย 2 สูตร คือ โททอลเท็น และมายด์แคร์ แต่วางจำหน่ายเฉพาะ "กรูเม่ต์ มาร์เก็ต" ตั้งแต่เดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมาเพียงแห่งเดียว
เจลแอลกอฮอล์ล้างมือดังกล่าว ผลิตโดย บริษัท ไมลอทท์ แลบบอราทอรีส์ จำกัด ผู้ผลิตเครื่องสำอางผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบบโออีเอ็ม มีบริษัท มูระ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่าย พร้อมตราสัญลักษณ์ยูนิลีเวอร์ แต่พบว่าไลฟบอยย์ไม่ได้อยู่ในพอร์ตโฟลิโอของยูนิลีเวอร์อย่างเป็นทางการ โดยสบู่เพื่อสุขภาพผิวที่มีในพอร์ตคือ "วาสลีน"
หากกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของไลฟบอยย์ คงต้องเริ่มมาจากการก่อตั้ง "ยูนิลีเวอร์" ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของโลก ด้วยผลิตภัณฑ์กว่า 400 แบรนด์ จุดเริ่มต้นมาจากในปี 2423 “วิลเลี่ยม เฮสเกธ ลีเวอร์” เจ้าของธุรกิจร้านขายของชำแบบค้าส่งทางภาคเหนือของอังกฤษ เริ่มผลิต "สบู่ซันไลท์" สำหรับใช้ในครัวเรือน
"สบู่ซันไลท์" ทำจากน้ำมันเมล็ดสนกับน้ำมันมะพร้าว ช่วยให้เป็นฟองง่ายกว่าสบู่จากไขมันสัตว์ กลายเป็นสินค้ายอดนิยม กระทั่งในปี 2427 ก่อตั้งบริษัท "ลีเวอร์แอนด์โค" เริ่มผลิตสบู่ซันไลท์ มีกำลังการผลิตมากกว่า 450 ตันต่อสัปดาห์ ก่อนจะสร้างโรงงานขนาดใหญ่ริมแม่น้ำเมอร์ซีย์ และกลายเป็นบริษัทจำกัดในนาม "ลีเวอร์ บราเธอร์ส"
ในยุคสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรีย มีผู้คนเสียชีวิตจากโรคอหิวาตกโรคที่ระบาดขึ้น รวมไปถึงโรคท้องร่วงและปอดบวม หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่ง คือการล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ ทำให้ลีเวอร์ บราเธอร์ส ตัดสินใจผลิต "สบู่ไลฟบอยย์" ที่มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรีย เพื่อส่งเสริมสุขอนามัยในปี 2437 วางจำหน่ายในราคาถูก
นอกจากไลฟบอยย์จะกลายเป็นสบู่ขายดีในอังกฤษแล้ว ยังมีส่วนป้องกันและช่วยลดอัตราการตายของเด็กๆ ได้มากกว่า 600,000 คนในแต่ละปี เท่ากับว่าได้รักษาชีวิตของเด็กๆ นับล้านคนทั่วโลก จากการติดเชื้ออหิวาตกโรค และการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ปัจจุบันผลิตและจำหน่ายมากถึง 60 ประเทศ
มาที่ประเทศไทย ปี 2451 ห้างลีเวอร์บราเธอร์ ลิมิเต็ด ได้รับหนังสือแต่งตั้งให้เป็นช่างทำสบู่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กระทั่งปี 2475 ลีเวอร์บราเธอร์เปิดกิจการในเมืองไทยชื่อ บริษัท สยาม อินดัสทรีส์ จำกัด เพื่อผลิตสบู่หอมลักส์และสบู่ซักฟอกซันไลต์ มาการีน และน้ำมันพืช
สบู่ไลฟบอยย์ในไทย ผลิตและจำหน่ายเมื่อใดไม่ปรากฎแน่ชัด แต่มีภาพยนตร์โฆษณาบอกเล่าเรื่องราวของ "มาริสา" นักเรียนมหาวิทยาลัย ในวันหยุดเรียนทำงานทัศนาจรพาชมสถานที่ต่างๆ แม้งานจะเหน็ดเหนื่อยและอากาศร้อนอบอ้าวแต่ก็ยังสดชื่น ชูจุดขายว่ามีสารพิเศษที่เรียกว่า "พูราลิน" ป้องกันเหงื่อไคลได้นานตั้งแต่เช้าจรดเย็น
กลายเป็นสินค้าขายดี โดยมีคู่แข่งคือบริษัทดีทแฮล์มและบอร์เนียว นำเข้า "สบู่เซฟการ์ด" จากสหรัฐอเมริกา สมัยก่อนมีวลีฮิต "พูดไปก็ไลฟบอยย์ นิ่งไว้ก็เซฟการ์ด" ทำนองว่าถ้าพูดอะไร หรือทำอะไร อีกฝ่ายไม่เห็นคุณค่าก็เสียเวลาเปล่า เปรียบเหมือนไลฟบอยย์ที่เป็นสบู่ราคาถูก มาเทียบกับสบู่นำเข้าราคาแพง
คำว่า "พูดไปก็ไลฟบอยย์" ยังเป็นชื่อเพลงของนักร้องสาวในตำนาน "ไพจิตร อักษรณรงค์" อีกด้วย
นอกจากสบู่ก้อนแล้ว ไลฟบอยย์ยังได้แตกไลน์ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ แป้งครอบครัวไลฟบอยย์ ชูจุดขายสดชื่นสบายตัวกว่า นานกว่า และในปี 2537 ได้ออกผลิตภัณฑ์สบู่เหลวถนอมมือ "ไลฟบอยย์พลัส" ชูจุดขายผสมสาร "พูราลิน พลัส" ช่วยยับยั้งแบคทีเรียได้นาน 24 ชั่วโมง
ตลาดสบู่สุขภาพผิวในประเทศไทยเริ่มมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น หลังจากที่คอลเกต-ปาล์มโอลีฟ ผู้ผลิตสบู่และผงซักฟอกรายใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ตั้งโรงงานในไทยที่คลองเตย ก็ได้สร้างโรงงานผลิตสบู่ในปี 2528 ด้วยมูลค่า 300 ล้านบาท เพื่อสบู่ปาล์มโอลีฟและสบู่เด็กแคร์ในประเทศไทย จึงได้ผลิต "สบู่โพรเทค" ขึ้นมา
ส่วนอีกค่ายหนึ่ง พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (พีแอนด์จี) หลังเปิดกิจการในประเทศไทยเมื่อปี 2530 ได้ผลิต "สบู่เซฟการ์ด" ขึ้นมาเอง ทำให้กลายเป็นคู่แข่งขันกันถึง 3 เจ้า
แม้สบู่ไลฟบอยย์จะปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่ สบู่สุขภาพผิวเพื่อครอบครัว มุ่งเจาะตลาดต่างจังหวัด แต่ลีเวอร์บราเธอร์ก็แตกแบรนด์สบู่สุขภาพผิวอีกยี่ห้อหนึ่ง คือ "ฮาร์โมนี่" (Harmony) เหมือนผงซักฟอกบรีสที่ลีเวอร์บราเธอร์แตกแบรนด์ผงซักฟอกโอโม่ โดยทุ่มทุนการตลาดให้กับโอโม่แบบไม่อั้น ซึ่งฮาร์โมนี่ก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2540 สบู่โพรเทคของค่ายคอลเกต ซึ่งมาที่หลังสบู่ไลฟบอยย์ กลายเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 10.3% กลับกันสบู่ไลฟบอยย์กลายเป็นเบี้ยหัวแตก ถูกสบู่ฮาร์โมนี่แย่งส่วนแบ่งตลาดกันเอง 5% ทำให้ลีเวอร์บราเธอร์พยายามกลับมาเป็นผู้นำตลาดสบู่ก้อนอีกครั้ง ตั้งแต่ปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์สบู่ไลฟบอยย์ใหม่ ดูทันสมัยขึ้น
การแข่งขันถึงคราวที่จะต้องตัดสินใจ ลีเวอร์บราเธอร์พยายามทุ่มเทให้กับแบรนด์ฮาร์โมนี่ ซึ่งมีความสดใหม่อย่างหนัก กระทั่งตัดสินใจนำ "วาสลีน" (Vaseline) ซึ่งเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมารีลอนช์ใหม่ ใช้ชื่อว่า "วาสลีน ฮาร์โมนี" (ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเหลือแค่คำว่าวาสลีน) สบู่ไลฟบอยย์จึงค่อยๆ หายไปจากตลาดในไทย
ผลิตภัณฑ์ "ไลฟบอยย์" ยังคงผลิตและจำหน่ายมากกว่า 60 ประเทศ ในภูมิภาคอาเซียนมีวางจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลลิปปินส์ เวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา ส่วนประเทศใหญ่ๆ นอกจากต้นกำเนิดที่อังกฤษแล้ว ยังมีที่ประเทศอาร์เจนตินา บราซิล จีน อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ และอื่นๆ
ผลิตภัณฑ์ไลฟบอยย์ในปัจจุบันไม่ได้มีเพียงแค่สบู่ก้อน แต่ยังแตกไลน์ผลิตภัณฑ์เพื่อชำระร่างกายในรูปแบบอื่นๆ เช่น ครีมอาบน้ำ น้ำยาล้างมือ เจลล้างมือ และยังพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับประเทศนั้นๆ เช่น เครื่องจ่ายสบู่โฟมลายมิกกี้เมาส์ในจีน สบู่เหลวสำหรับกลุ่มลูกค้ามุสลิมวางจำหน่ายในอินโดนีเซีย บังคลาเทศ และปากีสถาน
ช่วงที่เกิดวิกฤตโคโรนาไวรัส เจลล้างมือขาดตลาด "ไลฟบอยย์" กลับมาเป็นอัศวินม้าขาว เพราะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล หาซื้อง่ายกว่ายี่ห้ออื่น พร้อมกลับมารื้อฟื้นความทรงจำในอดีตให้เป็นที่นึกถึง ส่วนยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย สนใจจะนำแบรนด์ไลฟบอยย์กลับมาทำการตลาดอีกครั้งหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของอนาคต
(เกาะกระแสธุรกิจ เศรษฐกิจสดใหม่ เรื่องราวการตลาดที่ใกล้ชิดผู้บริโภค กับ Ibusiness Review ที่นี่ที่เดียว! ทางเฟซบุ๊ก Ibusiness และเว็บไซต์ ibusiness.co)