จากกรณี ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตัดสินยกฟ้อง นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คดีร่วมกันฟอกเงินธนาคารกรุงไทย นั้น
เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา www.isranews.orgได้รายงานว่า ศาลฯพิพากษาให้ยกฟ้องนายพานทองแท้ ชินวัตร โดยเห็นว่า เส้นทางการเงินดังกล่าวเป็นไปด้วยความเปิดเผย ไม่ปิดบัง หรือซุกซ่อน หรืออำพรางแต่อย่างใด นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถตรวจสอบเส้นทางเงินได้ตลอดเวลา ไม่สามารถแก้ไขข้อมูลภายหลังได้ ไม่ใช่เป็นการปกปิด หรืออำพรางการได้มา พฤติการณ์จึงยังเชื่อไม่ได้ว่า นายพานทองแท้ ได้เงินจากนายวิชัย กฤษดาธานนท์ มาจากการกระทำความผิด ในเมื่อไม่รู้ หรือเชื่อว่าไม่รู้ว่า เงินดังกล่าวมาจากการกระทำความผิด คดีจึงฟังไม่ได้ว่าสมคบกับนายวิชัยในการฟอกเงิน
ภายหลังการอ่านคำพิพากษา ผู้พิพากษาชี้แจงว่า คดีดังกล่าวเกิดความเห็นแย้งกันขึ้น ภายใต้การพิจารณาข้อกฎหมายเดียวกัน โดยหนึ่งในองค์คณะผู้พิพากษายืนยันความเห็นว่า ควรพิพากษาลงโทษจำคุกนายพานทองแท้ 4 ปี โดยในคำพิพากษาศาลฉบับเต็ม จะแนบความเห็นแย้งของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนเดิมไว้ด้วย
คดีดังกล่าวมีองค์คณะผู้พิพากษา 2 ราย โดยการตัดสินดังกล่าวเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 184 ที่บัญญัติว่า ในการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้อธิบดีผู้พิพากษาข้าหลวงยุติธรรม หัวหน้าผู้พิพากษาในศาลนั้นหรือเจ้าของสำนวนเป็นประธาน ถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาทีละคน ให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย ให้ประธานออกความเห็นสุดท้าย การวินิจฉัยให้ถือตามเสียงข้างมาก ถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่ายหรือเกินกว่าสองฝ่ายขึ้นไป จะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า