xs
xsm
sm
md
lg

Start Up เปลี่ยนโลก! “มาซาโยชิ ซัน” ชีวิตที่ไม่มีคำว่า “เป็นไปไม่ได้”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:

นายสุวิชชา เพียราษฎร์ บรรณาธิการหนังสือ Masa Way Start Up เปลี่ยนโลก - นายวีรพงษ์ ตรีประลำ” ผู้เรียบเรียงที่รู้ลึกรู้จริงในชีวิตของมาซาโยชิ ซัน
ถอดชีวิตเปลี่ยนโลก “มาซาโยชิ ซัน” กับเรื่องราวชีวิตอันน่ามหัศจรรย์ เปี่ยมแรงบันดาลใจ จากลูกหลานคนอพยพ สู่ประสพความสำเร็จระดับโลก ในระดับที่กล่าวได้ว่า เป็นผู้ปฏิวัติประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของแวดวงอุตสาหกรรม

เอ่ยชื่อ “มาซาโยชิ ซัน” หรือ “มาซะ” คนในแวดวงธุรกิจสตาร์ทอัพหรือเทคโนโลยี ย่อมไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายสายเลือดเกาหลีคนนี้ และเรื่องราวของเขาได้รับการสืบค้นแบบเจาะลึกทุกแง่มุม นำมาถ่ายทอดบอกเล่าในหนังสือ Masa Way Start Up เปลี่ยนโลก ผลงานที่ผู้เรียบเรียงบอกว่า ถ้าหากได้ศึกษา “มาซะ” อย่างละเอียดถ่องแท้ “เรา”...หมายถึงคนไทย สามารถกลายเป็น “เสือติดปีก” ในแวดวงธุรกิจไปเลยก็เป็นได้

จากเรื่องราวหลากหลายแง่มุมให้ศึกษาของ “มาซะ” เราย่อยรายละเอียดบางจุดมาแบ่งปันกัน ผ่านบทสนทนากับ “วีรพงษ์ ตรีประลำ” ผู้เรียบเรียงที่รู้ลึกรู้จริงในชีวิตของมาซาโยชิ ซัน และ “สุวิชชา เพียราษฎร์” บรรณาธิการหนังสือเล่มดังกล่าวที่บอกว่า เรื่องราวของมาซะมีทั้งความสนุก ดราม่า และเนื้อหาแง่คิด แรงบันดาลใจแบบครบรส...

เมื่อเอ่ยถึงมาซาโยชิ ซัน ทั้งสองท่านนึกถึงสิ่งใดเป็นอันดับแรก

วรพงษ์ : ผมนึกถึง ‘ความเป็นไปได้’ เพราะสำหรับมาซาโยชิ ซัน ไม่มีคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ในชีวิตเขาเลย คือไม่ว่าจะมีอุปสรรคทั้งด้านการเงิน ด้านการดำเนินงาน ด้านเทคโนโลยี ด้านคน สำหรับผมเขาคือ Possible Man ครับ
สุวิชชา : มาซาโยชิ ซัน คือคนที่มีแนวคิดในแบบของตัวเอง และสำหรับเราซึ่งเป็น คนเอเชียด้วยกัน เขาเป็นตัวแทนที่ไปสู้กับฝรั่งเก่งๆ ได้ อย่างในโลกใบนี้เราจะรู้จักฝรั่งหลายคนที่เก่งเกี่ยวกับเทคโนโลยี เช่น สตีฟ จอบส์ บิลล์ เกตส์ ฯลฯ ซึ่งมาซาโยชิ ซัน เขาได้โผล่ขึ้นมาในระดับเดียวกับคนบิ๊กเนมเหล่านี้

ในฐานะผู้เรียบเรียงหนังสือ ซึ่งได้สืบค้นเรื่องราวความเป็นมาของมาซาโยชิ ซัน โดยละเอียด มีความรู้สึกประทับใจในชีวิตของคนๆ นี้อย่างไรบ้าง

วรพงษ์ : ผมขอเริ่มตั้งแต่สมัยที่เขาเด็กๆ เลย เพราะผมเริ่มไปศึกษาชีวิตของมาซาโยชิ ซัน ตั้งแต่เขายังไม่เข้าโรงเรียนไปจนถึงระดับครอบครัว สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ คือการบ่มเพาะวิธีคิดของเขา ซึ่งมาซาโยชิ ซัน เริ่มต้นชีวิตมาจากติดลบ จากที่คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายเป็นชาวเกาหลีอพยพมาอยู่ที่ญี่ปุ่น แต่ว่าพ่อแม่ของเขาเกิดที่ญี่ปุ่น และเขาก็เกิดที่ญี่ปุ่น เขาจึงเป็นคนญี่ปุ่นที่มีเชื้อชาติเกาหลี แต่ว่าด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเป็นชาตินิยมสูง เพราะฉะนั้น เขาจะมองคนต่างชาติไม่ค่อยดีเท่าไหร่

สิ่งที่ผมประทับใจในตัวมาซาโยชิ ซัน มากๆ คือ เขามีเลือดนักสู้ เขาไม่เคยคิดเลยว่าต้นทุนในชีวิตของเขาที่น้อยกว่าคนอื่นเป็นอุปสรรค เขามองตรงกันข้ามด้วยซ้ำ แทนที่เราจะมานั่งรอให้สักวันหนึ่ง ใครสักคน องค์กรการกุศล หรือรัฐบาลที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรให้กับคนที่มีเชื้อชาติเกาหลีที่มีสังคมแบบนั้นให้ได้รับการยอมรับ สำหรับเขาแล้วมันยากที่จะเกิดขึ้น เขาเลยเลือกที่จะลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง และทำอะไรบางอย่าง สร้างชีวิตขึ้นมาด้วยตัวเอง โดยตั้งใจเรียน สร้างธุรกิจ ทำทุกอย่างขึ้นมาเพื่อให้สังคมรับรู้ และยอมรับเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ผมประทับเรื่องความมุ่งมั่นตรงนี้มากครับ

จริงๆ ค่อนข้างสอดคล้องกับประสบการณ์ส่วนตัว ผมเป็นคนหนึ่งที่ค่อนข้างโชคดีที่ได้ทำงานในหลายๆ ประเทศ เจอกับองค์กรนานาชาติ สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้คือการไม่ยอมรับ แต่คิดว่าสมัยนี้น่าจะน้อยลง อย่างสมัยก่อน อะไรๆ ก็ต้องฝรั่ง แต่สิ่งที่มาซาโยชิ ซัน ทำ ตรงกันข้ามเลยนะครับ เพราะเขาเป็นคนเอเชียที่เป็นเหมือนตัวแทนของพวกเราชาวเอเชียที่คนทั้งโลกยอมรับ คนทั้งโลกนับถือ

ทั้งหมดเกิดขึ้นมาได้จากมุมมองเดียวเลยคือ เขาอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่างเพื่อพิสูจน์ให้ได้รู้ว่ามนุษย์หนึ่งคนทำได้มากกว่า เราสามารถนับถือกันในฐานะมนุษย์หนึ่งคนได้ ไม่ได้เกี่ยวว่าชาติพันธุ์ของคุณจะต้องเป็นอะไร ต้นทุนในชีวิตคุณจะมาจากติดลบไหม

ถามในฐานะผู้อ่าน ชีวิตของมาซาโยชิ ซัน ในมุมไหนอย่างไร ที่ Touch หัวใจ หรือส่งผลกระทบรุนแรงต่อความคิดของเรา

สุวิชชา : ผมอยากขอย้อนเล่ากลับไปถึงตอนที่มาซาโยชิ ซัน เป็นเด็ก ซึ่ง 65 ปีก่อนสภาพสังคมที่ญี่ปุ่นก็คงจะแอนตี้กับกลุ่มคนอพยพที่เข้ามาอยู่ในสังคมเขาพอสมควร ถ้าใช้ภาษาสมัยนี้คงต้องบอกว่ามาซาโยชิ ซัน โดนบูลลี่ตั้งแต่เด็กๆ เพราะครอบครัวยากจนและอาศัยอยู่ตรงที่ดินของการทางรถไฟ แต่ว่าพื้นฐานของครอบครัวเขา ตั้งแต่ปู่ย่าตายายและพ่อแม่ของเขาที่เป็นคนบ่มเพาะไว้ ผมเชื่อว่าหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาตอนเด็ก มันทำให้เขารู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อที่จะไปให้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เป็นแรงผลักดันตัวเองขึ้นไป

อย่างตอนที่เขาเริ่มโต เขาก็จะมีวิถีของเขาที่เป็น Masa Way เช่น การเรียนหนังสือ เขาก็ตั้งใจว่าเขาอยากจะไปทางไหน เขามีไอดอลประจำตัวว่าเป็นใคร เขาก็มุ่งมั่นมากที่จะไปเจอบุคคลนั้นให้ได้ เขาทุบกระปุกตัวเองเอาเหรียญไปหยอดตู้โทรศัพท์โทรจากจังหวัดที่เขาอยู่ โทรไปที่โตเกียวเพื่อไปขอนัดพบไอดอลของเขา โดยพอไปเจอบุคคลท่านนั้น เขาก็มีคำถามว่า “เขาอยากจะรวย อยากจะทำให้ชีวิตดีขึ้นต้องทำยังไง ต้องเรียนวิชาอะไร” และจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาก็เริ่มต้นขึ้นจากการที่ไอดอลแนะนำว่าเขาจะต้องทำอะไร

มาซาโยชิ ซัน เป็นคนหนึ่งที่ซึ่งมีพื้นฐานความอดทน มีความทะเยอทะยาน มีความเฉลียวฉลาด มีความรู้กตัญญู มีความมุ่งมั่นตั้งใจ เรียกได้ว่ามีครบถ้วน ซึ่งชีวิตในระหว่างเรียน เขาไปเรียนด้วยความทะเยอทะยาน มุ่งมั่น ด้วยเวลาและข้อจำกัดเรื่องทุนทรัพย์ เขาอยากตัวเองเรียนจบเร็วๆ เขาก็มีวิธีของเขา

ในระหว่างที่เขาเรียน สิ่งที่ผมชอบคือตอนที่เขาคุยกับเพื่อนนักศึกษาด้วยกัน ซึ่งคุยและท้าทายกันว่าเขาอยากจะทำอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่งเพื่อหาเงินให้ได้เดือนละ 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ สมัยนั้นก็ถือว่าเยอะมากนะครับ เพราะสำหรับเด็กนักเรียนสมัยนั้นคือคนอาจจะมองว่าบ้าหรือเปล่า แต่สำหรับมาซาโยชิ ซัน เขาเป็นคนประเภทที่ว่า พอตั้งใจทำอะไรแล้ว เขาจะต้องทำให้ได้

คิดว่า เพราะอะไร คนไทย หรือคนทั่วโลก จำเป็นต้องรู้จักหรือศึกษาเรื่องราวของมาซาโยชิ ซัน

วรพงษ์ : ผมมอง 2 มุมนะครับ คือถ้ามองในมุมของคนที่อยากจะพัฒนาตัวเอง เขาคือหนึ่งในต้นแบบที่มีอะไรหลายๆ อย่างให้ค้นหา มันมีหลายๆ มิติในชีวิตของเขาที่เราจะสามารถเรียนรู้ได้ มาซาโยชิ ซัน เป็นเหมือนต้นแบบที่ดีมากๆ เราสามารถเรียนรู้มุมมองหรือวิธีคิดของเขาได้ ในแง่ของการที่เราจะมองเห็นปัญหา มองเห็นวิธีคิดของเขาว่าเขาแก้ไขปัญหายังไง

อีกหนึ่งมุม ผมมองในมุมของผู้ประกอบการ เพราะว่ามาซาโยชิ ซัน มีความพิเศษอย่างหนึ่ง นอกจากการเป็นนักคิด นักพัฒนา ในเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว สิ่งที่ทำให้มาซาโยชิ ซัน แตกต่างและโดดเด่นขึ้นมาจากผู้ประกอบการคนอื่น คือเขามีความรู้ด้านไฟแนนซ์ มีความรู้ด้านเครื่องมือทางการเงินชั้นครูเลยก็ว่าได้ ความพิสดารของเขาคือการนำเทคโนโลยีและไฟแนนซ์มาผสมผสานกัน ผมมองว่าจุดนี้คือจุดที่ผู้ประกอบการชาวไทยหรือหลายๆ ท่านอาจจะยังไม่ได้เห็นว่าเราก็ทำได้เหมือนกันนะ และผมมองว่านี่คือหนึ่งในคีย์พอยท์ที่สามารถทำให้ซอฟต์แบงก์ บริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของญี่ปุ่น เติบโตได้รวดเร็วขนาดนี้
เพราะหากเรามองกลับไปซอฟต์แบงก์ เป็นบริษัทก่อตั้งมาเพียงแค่ 1 ชั่วชีวิตคน ผมเลยมองย้อนกลับไปว่า แล้วธุรกิจในบ้านเรา อย่าง SME หรือ คอร์เปอร์เรทในบ้านเรามีหลายธุรกิจที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ประสบความสำเร็จได้ 1 generation 2 generation แต่ว่าหลายๆ ครั้ง ผมรู้สึกเสียดายที่เราอยู่แค่ในสเกลประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมได้ไปค้นหาสมัยที่มาซาโยชิ ซัน ล้มเหลว เขาเจอวิกฤติ กับสมัยที่บ้านเราตอนช่วงที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่แตกต่างกันคือ มาซาโยชิ ซัน ล้ม เขาจะใช้ไฟแนนซ์เชียลทุกอย่างในการพาเขากลับมาและไล่เทคโอเวอร์คนอื่นได้

แต่หลายครั้งหลายกิจการในบ้านเราสนใจด้านโอเปอร์เรชั่นแค่เพียงด้านเดียว แต่อาจจะไม่ได้ลงลึกในเรื่องไฟแนนซ์สักเท่าไหร่ ซึ่งตรงนี้ทำให้ธุรกิจดีๆ กิจการดีๆ ในบ้านเราเยอะแยะมากมายถูกเทคโอเวอร์โดยทุนต่างชาติ ทั้งที่จริงๆ แล้ว คนไทยเก่ง ผมเลยรู้สึกเสียดายตรงนี้ และยิ่งผมได้ทำงานกับชาวต่างชาติเยอะผมยิ่งคอนเฟิร์มว่าคนไทยเก่ง เก่งกว่าฝรั่งเยอะ ซึ่งถ้าเราเพิ่มแง่มุมการใช้ไฟแนนซ์เชียลเข้าไป หรือการวางแผนกลยุทธ์ Global Multi-Asset หรืออะไรก็ตามแต่ที่มีรายละเอียดอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ถ้าเราใส่ตรงนี้เข้าไปให้กับผู้ประกอบการชาวไทย ผมมั่นใจว่าหลายๆ กิจการในบ้านเราจะกลายเป็นเสือที่ติดปีก และเราพร้อมสู้กับทุนต่างชาติ พร้อมโตในระดับโกลบอลค่อนข้างเยอะเลยครับ

ในการดำเนินธุรกิจของมาซะ เราจะพบว่าเขาเองก็ประสบปัญหามาไม่น้อย อยากให้ช่วยยกตัวอย่างถึงวิธีการแก้ปัญหาของเขาว่ามีจุดไหนบ้างที่ถือเป็นบทเรียนน่าศึกษา

วรพงษ์ : อย่างแรกคือเขาไม่โกหกตัวเองครับ เขายอมรับว่าเขาพลาดและเขาล้ม เขาเปิดใจกับทีมงาน กับผู้บริหาร ซึ่งหลายครั้งเขายอมตัดแขน ตัดขา เพื่อให้ร่างยังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เขาให้การสนับสนุนทางการเงินเข้าไป เขาแอดมิทเลยนะครับว่าเขาพลาดและเขาจะคัทเลย ซึ่งตรงนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่ในความเป็นจริงเวลาทำไม่ง่าย เพราะหลายครั้งเราจะยึดติดกับมุมมองเดิม เรายังมีวิธีที่คิดว่าจะไปต่อได้ แต่สำหรับมาซะ อะไรที่เขาเห็นว่าอนาคตจะไปต่อไม่ได้ แก้แล้วจะกินเนื้อเข้ามาเยอะ เขายอมคัท ยอมเจ็บแล้วจบ ซึ่งหลายครั้งที่ผมมีประสบการณ์กับผู้ประกอบการคนไทยมา ผมพบว่าตัวเราหลายครั้งจะไม่ยอมจบ แต่จะยอมเจ็บเล็กๆ เจ็บไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายกลายเป็นปัญหาพัวพันจนทำให้เราเดินหน้าก็ไม่ได้ จะปิดจบก็ลำบาก

ถามถึงความคาดหวังในการทำหนังสือเล่มนี้

วรพงษ์ : จริงๆ ความตั้งใจเดียวเลยสำหรับผมคือผมเห็นว่าคนไทยเก่ง และผมก็เห็นว่ามาซาโยชิ ซันเองก็เก่ง เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องที่จะเริ่มเรียนรู้ทุกอย่างจากศูนย์ แต่เราสามารถต่อยอดจากสิ่งที่เขาเคยทำมาแล้วได้ คือไม่ว่าเด็กๆ น้องๆ นักเรียน นักศึกษา เวลาได้อ่าน ก็จะเห็นมุมมองวิธีคิดของเขาว่าอะไรที่ทำให้เด็กคนหนึ่งซึ่งถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า สามารถก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จในระดับที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ขณะที่คนซึ่งเริ่มทำงาน เริ่มสร้างธุรกิจ ผมว่า Masa Way เป็น Case Study ที่ดีมากๆ

ขณะเดียวกัน ผมอยากเห็นกิจการในบ้านเรา ผมอยากเห็นธุรกิจของคนไทย เราก้าวไกลไปได้ในระดับโลก เราสามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ เราสามารถมีเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งเราจะใช้ความรู้ทางด้านการเงินเข้ามาผสานกับธุรกิจที่เจ๋งอยู่แล้ว ซึ่งผมมั่นใจว่าประเทศไทยมีธุรกิจที่เจ๋งเยอะ ซึ่งถ้าเราเอาไฟแนนซ์มาผสมผสานในโปรดักต์ของเรา ผมว่าประเทศไทยจะมั่งคั่งอีกเยอะมาก และผมมองว่ามันเป็นการเตรียมตัวที่ดีมากๆ สำหรับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่หลายคนอาจทราบว่าสภาพเศรษฐกิจอาจจะไม่ดีนัก และหลายคนดูข่าวด้านเศรษฐศาสตร์ ทุกคนอาจจะกังวลว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจไหม ซึ่งความตั้งใจของผมคือคนไทยจะมีชีวิตที่ดีขึ้น คนไทยจะมีมุมมอง มีวิธีการบ่มเพาะวิธีคิดที่ดีขึ้นเพื่อที่เราจะพร้อมเดินหน้าและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในโลกอนาคตครับ

มองว่า เนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้หน่อยครับว่า จะตอบโจทย์หรือมอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้อ่านในแง่มุมไหนอย่างไรบ้าง

สุวิชชา : หนังสือเล่มนี้มีทั้งความหมาย ปรัชญา แนวคิด วิถีชีวิต หรือแม้กระทั่งการที่มาซาโยชิ ซัน ได้ไปเจอบุคคลสำคัญๆ อย่าง แจ็ค หม่า สตีฟ จอบส์ บิล เกตส์ ซึ่งจะมีคำที่เขาพูดกับบุคคลเหล่านี้ โดยที่เราก็สามารถจะเก็บมาคิดต่อยอดได้ ที่สำคัญ อ่านแล้วรู้สึกฮึกเหิม จะมีคำว่า เฮ้ย! ตลอดว่า เขาทำได้ด้วยเหรอ เขารอดมาได้ยังไง ซึ่งมันจะมีพลังซ่อนเร้นอยู่ในตัวมาซาโยชิ ซัน อยู่ตลอดทุกช่วงเวลาเลย แม้กระทั่งตอนป่วย ซึ่งอ่านแล้วคุณจะได้เรียนรู้ตั้งแต่มาซาโยชิ ซัน เป็นเด็ก ได้ไปกินไอศกรีม แบ่งให้เพื่อนยังไง โดนเพื่อนบูลลี่ยังไง ไปเรียนข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังไง ไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนอกไปทำอะไร ยังไง มีทุกบทอยู่ในนี้ เหมือนกับเราได้เป็นเงาของมาซาโยชิ ซัน เลย

อีกทั้งชีวิตที่เราได้จากมาซาโยชิ ซัน จะมีในแง่ของความเป็นตัวของเขาเอง วิธีคิด มุมมอง อนาคตที่เขามองไปไกลถึง 300 ปี คือเขาวางแผนตัวเองตั้งแต่เด็กว่า 30 ปีข้างหน้าเขาจะอยู่ตรงนี้ 50 ปีข้างหน้า เขาจะอยู่ตรงนี้ และต่อไป พวกเราจะมองเห็นเขาแน่ๆ เพราะว่าอุปกรณ์การใช้ทุกอย่างมาจากบริษัทที่เขาไปลงทุนทั้งหมด แม้กระทั่งมือถือ อุปกรณ์ไอที ชิพประมวลผลทั้งหลายแหล่ ก็ล้วนมาจากวิสัยทัศน์ของเขาที่เขาไปตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อไปลงทุนกับบริษัทพวกนี้ หรือแม้แต่ Grab Uber หรือหุ่นยนต์ที่จะนำมาใช้แทนที่มนุษย์ทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของเขาทั้งหมด

ดังนั้น ผมเชื่อว่า แม้ว่าคนที่จะทำธุรกิจใหม่ เป็น Startup หรือคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ ควรได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ยิ่งเป็นนักธุรกิจยิ่งควรต้องอ่าน ผมเชื่อว่านักธุรกิจเก่งๆ เยอะมาก แต่ว่าอาจจะต้องใช้เวลาเรียนรู้ถูกผิด ทุกคนที่ทำธุรกิจต้องมีการเริ่มต้น ซึ่งถ้าได้เล่มนี้เข้าไปเสริมสักนิดหนึ่ง ผมว่าจะทำให้คุณไม่ต้องนับ 1 เพราะจะมีบทเรียนที่เป็น Case Study ให้แล้ว
หนังสือเล่มนี้มีความสนุกในเนื้อหา แต่ก็แฝงด้วยแง่คิดและมุมมองต่างๆ ของมาซาโยชิ ซัน คือมีทั้งความสนุก แง่คิด ได้ความรู้ และสิ่งสำคัญคือ แรงบันดาลใจที่จะสู้กับเรื่องต่างๆ

อีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญมากๆ คือหนังสือ Masa Way Start Up เปลี่ยนโลก เล่มนี้ เราได้ส่งอีเมล์ไปให้มาซาโยชิ ซัน เพื่อให้เขาได้รับรู้ ในฐานะที่เขาก็เป็นคนทำหนังสือเหมือนกับเรา แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเราได้เพื่อนของมาซาโยชิ ซัน มาเขียนช่วงเกริ่นนำให้กับเรา ในหนังสือเล่มนี้ด้วยครับ โดยเพื่อนคนนี้เป็นทั้งเพื่อนสนิท เป็นทั้งพาร์ทเนอร์ธุรกิจคนแรกในชีวิตของมาซาโยชิ ซัน และอยู่ตั้งแต่ชีวิตมาซาโยชิ ซัน เกิดจุดเปลี่ยนพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลย

คิดไหมว่า มันน่าจะนำไปสู่การเกิดมี “มาซะ 2-3-4-5 หรือมากกว่านั้น”

วรพงษ์ : ผมมองว่าน่าจะเกิดขึ้นไทยที่เป็น Row Model เทียบชั้นกับมาซาโยชิ ซันเลย ผมไม่อยากให้ใช้คำว่าเป็นมาซาโยชิ ซัน 2-3-4-5 เพราะกลัวว่าจะไปเหมือนเขาไหม แต่ผมคิดว่าคนไทยมีดีในแบบของเรา ถ้าตามความจริง ถ้ายึดตามประวัติศาสตร์ คนไทยผลิตหรือคิดค้นนวัตกรรมได้ดีมากๆ ด้วย แต่เสียอย่างเดียวคือถูกต่างชาติเอาไปต่อยอด

ผมมองว่า วันข้างหน้าเราอาจจะมีนักธุรกิจระดับโลกที่ต่างชาติยอมรับ หรือเป็นนักคิด นักพัฒนา คล้ายๆ สตีฟ จอบส์ เลยก็ได้ ผมว่าเราไปถึงจุดนั้นได้ ผมมั่นใจว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นจิ๊กซอว์ที่เข้าไปเติมเต็มให้คนไทยหลายๆ คน ท่านผู้อ่านหลายๆ ท่าน ได้มีวิธีคิด มุมมอง ได้เปิดโลกในอีกแบบ แล้วจะสามารถต่อยอดสิ่งที่ดีอยู่เดิมแล้วให้ไปไกลกว่าเดิมได้อีกครับ






มาซาโยชิ ซัน คือใคร?

เขาไม่ใช่แค่มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในญี่ปุ่น
แต่เขาคือผู้สนับสนุนธุรกิจ Startup มูลค่ามหาศาล
Start Up ที่จะนำพาไปสู่การปฏิวัติอนาคตโลกด้วยเทคโนโลยี AI


• เขาคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ แจ็ค หม่า แห่งอาลีบาบา
• เขาคือผู้ที่เป็นเจ้าของบริษัท Ridesharing เจ้าใหญ่ทุกเจ้าบนโลกใบนี้อย่าง Uber, DiDi, Grab, Ola
• เขาคือผู้ที่สร้างสินค้าและบริการให้กับประชากรกว่าเจ็ดพันล้านคนทั่วโลก รวมไปถึงประชาชนไทย
• เขาคือผู้ที่ “กำหนด” อนาคตของโลกใบนี้ ผ่านการสนับสนุนการสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล

กำลังโหลดความคิดเห็น