xs
xsm
sm
md
lg

เกมจ้องล้มโต๊ะ "ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน" ตั้งเงื่อนไขบีบ "CPH" สมการ "อำมหิต" ใครรอกินรวบ?

เผยแพร่:


โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จะเป็นไปอย่างไร เมื่อนายอนุทิน ช่าญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีสาธารณสุข ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม ระบุว่า ภายในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ กลุ่มกิจการร่วมค้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตร หรือ กลุ่ม CPH ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ประกอบด้วยสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา จะต้องเซ็นสัญญาสัมปทานกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

ถือเป็นเส้นตายที่ทุกฝ่ายกำลังจับจ้องตาไม่กะพริบว่า CPH จะมาตามนัดหรือไม่


แน่นอนว่า หากกลุ่ม CPH ไม่มาเซ็นสัญญาตามกำหนดเวลาจะถูกจะยึดหลักประกันซอง 2,000 ล้านบาท และจะถูกขึ้นบัญชีดำหรือแบล็กลิสต์

"คิดว่าวันที่ 15 ตุลาคม กลุ่ม CPH มาลงนามสัญญาก่อสร้างแน่นอน เพราะถ้าหากไม่มา จะต้องโดนแบล็กลิสต์จากรัฐ เป็นการเสียชื่อบริษัท ยิ่งกว่านั้น มันหมายถึงว่านอกจาก CP แล้ว กลุ่มบริษัทที่ร่วมทุนทั้ง บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) บจ.ไชน่า เรลเวย์ คอนสตรัคชั่น บมจ.ช.การช่าง และ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ก็จะได้รับผลกระทบในการประมูลงานรัฐในอนาคตด้วย เรียกว่าผลเสียมหาศาลจริงๆ” นายอนุทินเคยกล่าว

**ตั้งแง่เงื่อนไขโหดบีบCPH

แหล่งข่าวเชื่อถือได้ ระบุว่า ตามเส้นตายดังกล่าวหรือภายในวันที่15 ตุลาคมนี้ กลุ่ม CPH จะมาตามนัดแน่นอน โดยจะขอสู้จนที่สุด เพราะชนะการประมูลมาแล้ว ที่ผ่านมาทุกอย่างควรน่าจะเรียบร้อยแต่ก็ถูกกวนให้น้ำขุ่นด้วยการตั้งแง่เงื่อนไขต่างๆโดยเฉพาะ การส่งมอบพื้นที่ ที่ยังไม่ลงตัว

ทั้งนี้กลุ่ม CPH ต้องการให้รัฐ ส่งมอบพื้นที่ครบ 100% จึงจะลงนามสัญญาก่อสร้าง แตนายอนุทินบ่ายเบี่ยงไม่ยอมโดยอ้างว่าตามทีโออาร์กำหนดเรื่องการส่งมอบพื้นที่ไว้ที่ 50% และรัฐได้ทำตามสัญญาแล้วหากจะขอเพิ่มเป็น 100% การรถไฟที่ดูแลรับผิดชอบคงไม่ยอม นอกจากก่อสร้างไปก่อนแล้วทยอยส่งมอบ หรือ ขยายเวลาการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยไม่ถึอว่าผิดสัญญา และ ไม่ปรับ

ทว่า การส่งมอบพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับกลุ่มCPH เพราะ เมื่อ รฟท.ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ครบ100%ตามกำหนดเวลาและแผนการก่อสร้างได้ก็จะทำให้โครงการมีความเสี่ยง ส่งผลสถาบันการเงินอาจไม่เชื่อมั่น การหาแหล่งเงินกู้ก็จะลำบาก

ประเด็นนี้อยู่ในกรอบของทีโออาร์อยู่แล้ว เพราะระบุให้ CPH และ รัฐเจรจากันได้ ไม่ใช่จะระบุไว้แค่ 50%ตามที่นายอนุทินระบุ และยังชี้นำให้รฟท.กระทำตามที่ตนเองว่าด้วย

สัญญาร่วมลงทุนฯ วิเคราะห์ให้เห็นภาพชัดคือ หากส่งมอบพื้นที่50% หรือ แบบตารางหมากฮอส แล้วเริ่มนับเวลาการก่อสร้างก็จะไม่มีทางทำสำเร็จ

ก่อนนี้ รฟท.และ CPH ได้เจรจากันเห็นว่า ข้อมูลพื้นทีที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สมบูรณ์ ไม่ครบถ้วน และยังไม่ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบัน ทำให้ รฟท.ทำแผนการส่งมอบด้วยความยากลำบากและใช้เวลานานเกินกว่าที่ประมาณการ ที่ประชุมจึงพิจารณาให้หาทางออกการทำแผนส่งมอบพื้นที่

หากวิเคราะห์ประเด็นนี้จะเห็นได้ว่าเป็นความเสี่ยงอย่างมากต่อเอกชน เพราะเป็นการดำเนินการแบบ Build Transfer Operate หมายถึง เอกชนรับความเสี่ยงไปก่อน หากส่งมอบพื้นที่ล่าช้า รฟท. ไม่มีค่าปรับ แต่เอกชนรับความเสี่ยง 2 เด้ง คือ จากภาระดอกเบี้ย และยังเสี่ยงต่อค่าปรับวันละ 9 ล้านบาท

หากไม่สามารถสร้างและส่งมอบได้ทันในเวลา 5 ปี หรือถ้าขยายเวลาการก่อสร้างออกไป โครงการคงล้มละลายไปก่อน เพราะไม่สามารถเดินรถได้ ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้วิ่งด้วยความเร็วไฮสปีด

มีข้อเสนอกันว่า ระยะเวลาในการส่งมอบพื้นที่ของโครงการ ให้ระบุเป็นระยะเวลาโดยประมาณที่เหมาะสม หากในระยะเวลา 3 เดือนก่อนครบกําหนดหาก รฟท.และกลุ่มกิจการร่วมค้าฯ เห็นร่วมกันว่ามีพื้นที่ไม่สามารถส่งมอบได้ภายในระยะเวลาที่ระบุไว้ คู่สัญญาอาจจะพิจารณาร่วมกันในการหาทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าวและกําหนดระยะเวลาส่งมอบพื้นที่ของโครงการในส่วนดังกล่าวใหม่

น่าสังเกตว่า ท่าทีที่แข็งกร้าวของนายอนุทินที่จะไม่ยอมเจรจาเพิ่มนั่นเหมือนต้องการบีบ CPH ไม่มีทางเลือก และ หากรฟท.ยืนยันตามจะเกิดอะไรขึ้น?

แนวทางเลือกล็อกไว้ว่า รัฐบาลก็อาจจะมอบหมายให้รายที่ 2 เข้ามาดำเนินโครงการแทน!

**บอร์ดรฟท.ออกยกชุด จุดเปลี่ยน?

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของรฟท.ที่ผ่านมาค่อนข้างประนีประนอมโดยได้หารือกับกลุ่มCPHมาตลอด ทั้งการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันเพื่อป้องกันเรื่องค่าปรับ และ การฟ้องร้องกรณี การส่งมอบพื้นที้ไม่ได้

ที่ผ่านมา คณะกรรมการควรจะต้องประชุมกันและหาข้อยุติซึ่งก็จะลงนามในสัญญาได้ แต่บังเอิญเกิดเหตุที่เป็นจุดเปลี่ยนอีกจุดหนึ่ง คือ การลาออกของบอร์ด รฟท.ทั้งชุด เมือ 30 กย.ที่ผ่านมา

แม้ว่า นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานบอร์ด รฟท.จะยืนยันไม่ไดถูกการเมืองบีบ และ ไม่กระทบกับการลงนามโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินแม้ไม่มีบอร์ด เนื่องจากโครงการ มีคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ ดำเนินการอยู่ และมีการรายงานผลดำเนินการลงสู่คณะกรรมการอีอีซีชุดใหญ่ก็ตาม

โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินเป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี รฟท.เองก็ทำงานใกล้ชิดกลุ่มCPHเรื่องการส่งมอบพื้นที่รับรู้ปัญหามาตลอด เมื่อรฟท.ไม่มีบอร์ดก็เป็นจุดที่น่ากังวลเพราะ การเมืองจะเข้ามาตัดสินใจแทน

**ขย่มCPHเพิ่อใคร?

ประเด็นสำคัญทีต้องวิเคราะห์กันต่อคือ เมื่อเรื่องนี้เป็นเกมการเมือง บทสรุปจะเป็นอย่างไร

หนึ่งนั้นต้องดูว่า โครงการนี้หากไปต่อไม่ได้ บริษัททุกบริษัทในกลุ่ม CPH ถูกแบล็กลิสต์ ไม่สามารถรับงานภาครัฐได้อีกต่อไป ใครจะได้รับผลประโยชน์?

กลุ่ม CPH ประกอบด้วยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด บริษัท ช.การช่างจำกัด (มหาชน) บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริษัท China Railway Construction Corporation Limited และบริษัท อิตาเลียนไทยดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)

แน่นอนว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านก่อสร้างเบอร์ต้นๆของประเทศ ตะเหลือเพียง ชิโน-ไทย หรือ STEC ของตระกูล ชาญวีรกุล ที่จะมีโอกาสรับประมูลงานภาครัฐอย่างไร้คู่แข่ง

จากการตรวจสอบ ปัจจุบันในพอร์ตงานภาครัฐของชิโน-ไทยพบว่า ประมูลไดัโครงการภาครัฐอยู่จำนวนมากและประกาศจะเข้าร่วมประมูลอีกหลายโครงการ อาทิ ที่ประมูลได้แล้วรถไฟฟ้าสายสีชมพูสีชมพู และ เหลือง ก่อสร้าง รัฐสภา ที่มีปัญหาต่อสัญญากันหลายครั้ง รถไฟฟ้าสายสีแดง ที่ขอกำลังของบประมาณเพิ่ม โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มสายตะวันตก ที่ประกาศจะแข่งขัน และ งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าอีกหลายแห่ง

เรียกได้ว่า ชิโน-ไทย หรือ STEC เป็นหุ้นที่ขาขึ้น นักวิเคราะห์ต่างพากันแนะนำให้ลงทุน

กรณีที่ CPH ไม่ได้ทำโครงการรถไฟความเร็วสูง ทั้งนายอนุทิน และ นายศักดิ์สยาม ชืดชอบ รมว.คมนาคม ก็พูดชี้นำหลายครั้งว่า แนวทางปฎิบัติ การรถไฟสามารถจะเรียกรายที่สอง คือ กิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ ที่ ประกอบด้วย บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น, และบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง เข้ามารับงานแทน CPH

รายที่สองที่รอเสียบนี้ก็กลุ่มทุนที่ชิโน-ไทยรวมอยู่ด้วยนั่นเอง

สอง.ต้องไม่ลืมว่า กลุ่ม CPH ชนะการประมูลด้วยการขอเงินสนับสนุนจากรัฐน้อยที่สุดคือ 117,226.87 ล้านบาท ซึ่งไม่เกินเพดานที่รัฐกำหนดไว้ 119,425.75 ล้านบาท

ทั้งนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มีวงเงินทั้งหมด 224,544.36 ล้านบาท รัฐลงทุน 117,226.87 ล้านบาท คิดเป็น 52% นับว่าเป็นสัดส่วนการลงทุนร่วมกับเอกชนที่ต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ที่รัฐต้องร่วมลงทุนถึง 80-85%

ต้องให้ความเป็นธรรมกับกลุ่ม CPH ว่า เมื่อการลงทุนมีความเสี่ยง ก็ต้องการเงื่อนไขที่ดีที่สุดที่จะดำเนินธุรกิจให้ไปต่อได้ จากการที่กลุ่ม CPH ขอให้รัฐร่วมทุนน้อย ทำให้กลุ่ม CPH ต้องลงทุนมาก ส่งผลให้โอกาสที่จะได้กำไรยากมากอยู่แล้ว

นายอนุทินก็พูดเองว่า เมื่อทางเอกชนเสนอราคาต่ำสุดถูกกว่าคู่แข่งประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ก็ต้องยอมรับว่าภาครัฐเอง ยังตะลึงกับราคานี้ และ พอใจมาก

โครงการนี้เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว เมื่อพอใจมาก สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากนี่ก็ควรจะว่าด้วยหลักความเป็นธรรมและเห็นผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ข่วยเหลืออำนวยความสะดวกให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไป

พรรคภูมิใจไทยกำลังมาดีๆ ได้รับคำชมจากนโยบายกัญชาเสรี และ แบนสารพิษเคมีเกษตร แต่จะมาเสียเพราะเพื่อ ผลประโยชน์ทับซ้อน Conflict of interest"การเมืองเรื่องธุรกิจ" หรือไม่ ต้องติดตามกันห้ามกระพริบตา.



กำลังโหลดความคิดเห็น