“พาณิชย์” คาดโรงกลั่นซาอุฯ ถูกโจมตี สินค้าเกี่ยวเนื่องน้ำมันส่งออกเพิ่มช่วงสั้นๆ ส่วนเงินเฟ้อขยับแน่

“พาณิชย์” วิเคราะห์ผลกระทบโรงกลั่นน้ำมันซาอุดีอาระเบียถูกโจมตี คาดราคาน้ำมันปรับขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนปรับลดลงสู่ภาวะปกติ ส่วนผลกระทบต่อการส่งออก สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันมีโอกาสเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นหรือไม่เปลี่ยนแปลงเลย ด้านเงินเฟ้ออาจปรับขึ้นเล็กน้อยจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันและก๊าซ

น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยถึงการวิเคราะห์ผลกระทบจากเหตุการณ์โรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของโลก บริษัท พลังงานแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย (Saudi Aramco) ถูกโจมตีด้วยโดรนอากาศยานไร้คนขับ จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงลุกไหม้ ได้รับความเสียหาย ว่า เบื้องต้นได้ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) วันที่ 16 ก.ย. 2562 ปรับตัวสูงขึ้น 15% ก่อนที่จะลดลงประมาณ 1% ในวันที่ 17 ก.ย. 2562 มาอยู่ที่ 62.08 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และหากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนจะปรับลดลงสู่คาดการณ์เดิม และทำให้ในช่วงที่เหลือของปี (ก.ย.-ธ.ค. 2562) ราคาน้ำมันน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 63.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ยังคงต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 69.4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลง 9% ส่วนราคาน้ำมันทั้งปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 64.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือลดลง 7.3%

ทั้งนี้ หากประเมินผลกระทบต่อการส่งออก พบว่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เช่น เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว และก๊าซธรรมชาติ มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงสั้นหรืออาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นเป็นเพียงระยะสั้น ผู้ประกอบการยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ รวมทั้งผู้ส่งออกยังจำเป็นต้องรักษาฐานลูกค้าภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวที่ความต้องการซื้อมีความอ่อนไหวต่อการเพิ่มขึ้นของราคามากกว่าในช่วงปกติ ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้ ในช่วง 7 เดือนของปี 2562 (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่าการส่งออก 14,900 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 10.4% ของการส่งออกรวมของไทย ลดลง 12.2% ซึ่งมากกว่าการหดตัวของราคาน้ำมันดูไบที่ 5.4%

ส่วนผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะส่งผลโดยตรงต่อราคาพลังงานในประเทศ และส่งผลให้รายการสินค้าสำคัญในตะกร้าดัชนีราคาผู้บริโภค เช่น ราคาน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล แก๊สโซฮอล์ NGV และ LPG เพิ่มสูงขึ้น